Sunday 24 August 2014

21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด

น้ำจิ้ม ถือเป็นเครื่องจิ้ม เครื่องปรุงรสที่ทำให้อาหารมีรสชาติที่อร่อยมากขึ้น แถมอาหารบางอย่างก็ไม่สามารถยกไปเสิร์ฟได้เลยถ้าไม่มีน้ำจิ้ม แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า น้ำจิ้มแต่ละถ้วยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

          ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ก็ยังไล่เรียงชื่อน้ำจิ้มแต่ละถ้วยไม่หมดสักที มีหลายชนิดซะเหลือเกิน เลือกกินเลือกจิ้มคู่กับอาหารได้มากมายทั้งคาว-หวาน โดยเฉพาะคนไทย น้ำจิ้มถือเป็นเครื่องเคียงที่ขาดไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะกินอาหารเมนูไหน ๆ ก็มักจะมีน้ำจิ้มแซมมาให้เห็นอยู่เสมอ แต่ทว่า น้ำจิ้มแต่ละสูตรก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างกันไป ส่วนผสมก็แตกต่างกัน แล้วเราจะรู้ได้อดย่างไรว่า น้ำจิ้มยอดฮิตที่เราชอบกินกันนั้นมีวิธีทำอย่างไรบ้าง วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็ได้รวบรวมสูตรน้ำจิ้ม และวิธีทำน้ำจิ้มยอดฮิตมาฝากถึง 21 สูตรน้ำจิ้มด้วยกัน ชอบสูตรไหนก็เลือกจิ้มกันได้ตามใจชอบเลยจ้า



 1. น้ำจิ้มสุกี้
         
          ถ้าวันไหนครอบครัวของคุณเกิดอยากจะจัดปาร์ตี้สุกี้ขึ้นมา แล้วกลัวว่า น้ำจิ้มที่ซื้อมาจะไม่พอ ก็มาทำกินเองซะเลยดีกว่า ได้ทีเดียวหม้อเบ้อเริ่ม เป็นน้ำจิ้มสุกี้สูตรมาจาก คุณ Mr Trin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

 สิ่งที่ต้องเตรียม
         
           ซอสพริก 1 ขวดใหญ่

           น้ำส้มสายชู 3 ทัพพี

           ซอสมะเขือเทศ 1 ทัพพี

           ซีอิ๊วขาว 3 ทัพพี

           ซอสหอยนางรม 1 ทัพพี

           กระเทียมดอง 2 ทัพพี

           น้ำตาลทราย 3 ทัพพี

           พริกชีฟ้าแดง 9 เม็ด

           กระเทียม 6 กลีบ

           เต้าหู้ยี้ 4 ชิ้น

           งาขาวคั่ว บดพอหยาบ 1 กำมือ

           น้ำมันงา 2 ทัพพี

           ผักชี และผักชีฝรั่งซอย

 วิธีทำ
         
           1. ใส่ซอสพริกลงในกระทะ ตามด้วยน้ำส้มสายชู ซอสมะเขือเทศ ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำกระเทียมดอง และน้ำตาลทราย คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
         
           2. โขลกพริกชี้ฟ้าแดงกับกระเทียมให้เข้ากันจนแหลก ใส่เต้าหู้ยี้พร้อมน้ำลงไป บดทุกอย่างจนเข้ากัน จากนั้นตักใส่ในกระทะที่มีซอสพริก
         
           3. คนส่วนผสมในกระทะเข้าด้วยกัน นำขึ้นตั้งไฟอ่อนคนผสมจนเดือด ปิดไฟ
         
           4. ใส่งาขาวคั่วบดลงไป ตามด้วยน้ำมันงา ค่อย ๆ คนผสมเข้าด้วยกัน ใส่ผักชีและผักชีฝรั่งซอย คนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้กินกับสุกี้




 2. น้ำจิ้มซีฟู้ด
         
          อีกหนึ่งสูตรน้ำจิ้มที่ใคร ๆ ก็อยากจะมีไว้ในครอบครอง เพราะน้ำจิ้มซีฟู้ดสามารถนำไปจิ้มกินกับอาหารได้หลายอย่าง แต่ที่นิยมก็คงจะเป็นอาหารทะเล ย่างสด ๆ ร้อน ๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดเด็ด ๆ แบบนี้ อร่อยเด็ด !

 ส่วนผสม
         
           พริกขี้หนูสวน 20 เม็ด

           พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ 20 เม็ด

           กระเทียมไทยแกะเปลือก 1/2 ถ้วย

           รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ

           เกลือ 4 ช้อนชา

           น้ำตาลทราย 7 ช้อนชา

           น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย

           น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย

 วิธีทำ
         
           1. ใส่พริกขี้หนูทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ตามด้วยกระเทียม รากผักชี เกลือ น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว ปั่นให้เข้ากันพอหยาบ
         
           2. ใส่น้ำต้มสุกลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 3. น้ำจิ้มหมูกระทะ
         
          คงจะมีหลายบ้านหลายครอบครัวที่ชอบทำหมูกระทะกินกันเอง สนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้กันไป นอกจากจะหมักหมู และเครื่องต่าง ๆ ให้อร่อยแล้ว หัวใจหลักสำคัญของอาหารปิ้งย่างก็ต้องอยู่ที่น้ำจิ้มด้วย ไปซื้อแบบสำเร็จมากินก็ไม่ถูกปาก ลองมาทำกินเองดีกว่าตามสูตรที่เรานำมาฝากนี้เลย รับรองว่า อร่อยจ้า

 ส่วนผสม
         
           ซอสมะเขือเทศ 1 ถ้วย

           ซอสพริก 3/4 ถ้วย

           ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วย

           เต้าหู้ยี้ บดพอหยาบ 1 ก้อน

           น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ

           พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา

           ผงพะโล้ 1/2 ช้อนชา

           งาขาวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ

 วิธีทำ
         
           1. ใส่ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซีอิ๊วขาว และเต้าหู้ยี้ ลงในหม้อคนผสมให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟปานกลาง คนผสมตลอดเวลาจนเดือด
         
           2. ใส่น้ำมันงา พริกไทย ผงพะโล้ และงาขาวคั่วครึ่งหนึ่งลงไป คนผสมจนเดือดอีกครั้ง ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย โรยงาขาวคั่ว พร้อมเสิร์ฟ




 4. น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
         
          เมนูหมูสะเต๊ะถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่มีเสน่ห์อยู่ที่น้ำจิ้ม เนื้อสัตว์หมักเครื่องเทศย่าง กินคู่กับน้ำจิ้มสะเต๊ะผัดหอม ๆ รสหวานกลมกล่อม  ๆ ยิ่งได้กินคู่กับน้ำจิ้มอาจาดยิ่งอร่อยครบรสขึ้นไปอีกว่าแล้วก็มาจดสูตรน้ำจิ้มสะเต๊ะไปลองทำกันเลยจ้า

 ส่วนผสม
         
           กะทิ 2 ถ้วย

           ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/2 ถ้วย

           น้ำพริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ

           น้ำตาลทรายปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ

           น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ

           เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

 วิธีทำ
         
           1. ใส่กะทิ 1 ถ้วย ลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนกะทิแตกมัน ใส่น้ำพริกแกงและถั่วลิสงคั่วบดลงผัดให้เข้ากัน เติมกะทิที่เหลือ คนผสมให้เข้ากัน ลดไฟลง หมั่นคนตลอดเวลา
         
           2. ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และเกลือ เคี่ยวจนข้น และมีน้ำมันลอยหน้า ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 5. น้ำจิ้มอาจาด
         
          ในเมื่อมีน้ำจิ้มสะเต๊ะอร่อย ๆ แล้ว ก็ต้องมาคู่กับน้ำจิ้มอาจาด เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เสิร์ฟมาพร้อมกันด้วย น้ำจิ้มอาจาดไม่ใช่แค่กินกับเมนูสะเต๊ะได้อย่างเดียวเท่านั้น ยังสามารถนำไปกินกับพวกทอดมัน ขนมปังหน้าหมู หรืออาหารทอด ๆ อย่างอื่นได้อีกด้วย

 ส่วนผสม
         
           น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย

           เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

           แตงกวาซอย

           หอมแดงซอย

           พริกชี้ฟ้าแดงเม็ดใหญ่ซอย

 วิธีทำ
         
           1. ใส่น้ำส้มสายชูและน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
           2. เวลาเสิร์ฟ ตักอาจาดใส่ถ้วย ตามด้วยแตงกวาซอย หอมแดงซอย และพริกชี้ฟ้าแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ




 6. น้ำจิ้มแจ่ว
         
          เชื่อเลยว่า น้ำจิ้มแจ่วสไตล์อีสานเป็นอีกหนึ่งน้ำจิ้มที่หลายคนชอบ แต่ไม่รู้ว่า ถ้าทำกินเอง จะอร่อยเหมือนที่แถมมาจากร้านหรือเปล่า รับรองว่าสูตรน้ำจิ้มแจ่วด้านล่างนี้ อร่อยเป๊ะ ! เป็นสูตรมาจาก คุณเนินน้ำ

 ส่วนผสม
         
           น้ำมะขามเปียก 50 กรัม

           น้ำอุ่น 1 ถ้วย

           น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ

           น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

           พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ

           ข้าวคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ

           ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนโต๊ะ

           หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ

 วิธีทำ
         
           1. แช่มะขามเปียกในน้ำอุ่นพอนุ่ม คั้นแล้วกรองเอาแต่น้ำ เตรียมไว้
         
           2. ผสมน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาเข้าด้วยกันในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนเหนียว เติมพริกป่น ข้าวคั่วป่น คนพอเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนอุ่น
         
           3. ตักใส่ถ้วยโรยด้วยผักชีฝรั่งซอย และหอมแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ



 7. น้ำจิ้มลูกชิ้น
         
          เวลาซื้อลูกชิ้นสุดโปรดแบบเป็นกิโล ๆ มากิน ถึงแม้ว่าเนื้อลูกชิ้นจะอร่อยนุ่มนิ่มขนาดไหน แต่ถ้านำมาจิ้มกินกับน้ำจิ้มไก่สำเร็จรูปธรรมดา ๆ ก็หมดราคากันพอดี แบบนี้ก็ต้องทำน้ำจิ้มลูกชิ้นไว้กินเองได้แล้ว

 ส่วนผสม
         
           พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 20 เม็ด

           กระเทียมไทยแกะเปลือก 3 ช้อนโต๊ะ

           กระเทียมดอง 3 หัว

           น้ำ 1 ถ้วย

           น้ำมะขามเปียก 1 1/4 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วย

           เกลือสมุทร 1 1/2 ช้อนโต๊ะ

 วิธีทำ
         
           1. ใส่พริกแห้ง กระเทียม กระเทียมดอง และน้ำลงในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้
         
           2. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลทราย และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่ปั่นไว้ลงไป เคี่ยวจนข้นเหนียว ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 8. น้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวาน
         
          พอถึงหน้าสะเดาออกดอก วัยรุ่นเก๋า ๆ หน่อยก็จะปลื้มปริ่ม เพราะจะได้ซื้อสะเดามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวาน แต่ถ้าเป็นวัยว้าวุ้นก็คงจะร้องยี้ให้กับความขมปี๋ของสะเดา แต่พอเอามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวานก็ช่วยลดความขมลงไปได้เยอะ แถมเข้ากันดีอย่าบอกใครเชียว ถ้าที่บ้านไหนได้รับสะเดามาเป็นของฝากหน้าหนาว ก็ลองมาทำน้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวานกินกันเองเลยดีกว่า

 ส่วนผสม
         
           น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย

           น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วย

           น้ำปลา 1/4 ถ้วย

           หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย

           หอมแดงเจียว

           พริกขี้หนูแห้งทอด

 วิธีทำ
         
           1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้พออุ่น
         
           2. ใส่หอมแดงซอย คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย โรยหอมแดงเจียว และพริกขี้หนูแห้งทอด พร้อมเสิร์ฟ




 9. น้ำจิ้มข้าวมันไก่
         
          ข้าวมันไก่หลากหลายสูตร จะเจ้าดัง ๆ หรือไม่ดัง ก็ต้องยอมรับเลยว่า ทีเด็ดดความอร่อยนั้นอยู่ที่น้ำจิ้ม ถ้าน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อยก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ถ้าคุณอยากจะลองทำข้าวมันไก่พร้อมน้ำจิ้มกินเอง จะไปกลัวอะไร เพราะเรามีสูตรน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อย ๆ มาฝากแล้ว

 ส่วนผสม
         
           เต้าเจี้ยว บดพอหยาบ 3 ช้อนโต๊ะ

           ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา

           น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

           เกลือป่น สำหรับปรุงรส

           น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ

           ขิงอ่อนสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

           พริกขี้หนูแดงสับละเอียด

 วิธีทำ
         
           1. ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน คนผสมจนละลายเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ





 10. น้ำจิ้มข้าวหมกไก่ (น้ำจิ้มสะระแหน่)
         
          หลายคนเรียกน้ำจิ้มชนิดว่า น้ำจิ้มข้าวหมกไก่กันจนติดปาก และอาจจะนึกไปว่าทำมาจากพริกขี้หนูเขียวผสมกับใบโหระพาหรือผักชี แต่จริง ๆ แล้วเป็นน้ำจิ้มที่ผสมใบสะระแหน่ เลยทำให้น้ำจิ้มข้าวหมกไก่มีกลิ่นหอมเย็น ๆ ซึ่งสูตรนี้เป็นสูตรมาจาก คุณบ่งบ๊ง ที่นำเสนอไว้ในวิธีทำข้าวหมกไก่ แถมน้ำจิ้มข้าวหมกไก่สูตรนี้ยังสามารถนำไปกินกับก๋วยเตี๋ยวลุยสวนได้อีกด้วยนะคะ

 ส่วนผสม
         
           น้ำส้มสายชู

           น้ำตาลทราย

           กระเทียมกลีบเล็ก 20 กลีบ

           พริกชี้ฟ้าเขียว หรือพริกขี้หนูเขียว

           ผักชีไทย

           ใบสะระแหน่

           เกลือป่น

           นมเปรี้ยว (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

 วิธีทำ
         
           1. ใส่น้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย พักไว้จนเย็น
         
           2. ใส่กระเทียม พริก ผักชีไทย และใบสะระแหน่ลงในเครื่องปั่น ปั่นผสมให้ละเอียด เทใส่ลงในส่วนผสมน้ำส้มสายชู เติมเกลือป่น ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 11. น้ำจิ้มหอยทอด
         
          หอยทอดก็เป็นอาหารจานเดียวอีกหนึ่งเมนูที่คนนิยมทำกินกันเองที่บ้าน เพราะวิธีทำไม่ได้ยากจนเกินไป แน่นอนว่า หอยทอดจะอร่อยได้ครบรสนั้น ต้องมีน้ำจิ้มหอยทอดอร่อย ๆ เคียงคู่กันมาด้วย ไหน ๆ ก็ทำหอยทอดกินเองแล้ว ก็ทำน้ำจิ้มหอยทอดกินเองไปด้วยเลยน่าจะดีนะคะ

 ส่วนผสม
         
           พริกชี้ฟ้าแดงโขลกละเอียด 2 เม็ด

           น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

           เกลือสมุทร 1 ช้อนชา

           น้ำส้มสายชู 3/4 ถ้วย+2 ช้อนโต๊ะ

           ซอสพริก 1/2 ถ้วย

 วิธีทำ
         
           1. ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำส้มสายชูลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนส่วนผสมข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
           2. ใส่พริกชี้ฟ้าโขลกละเอียด และซอสพริก ลงไปคนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 12. น้ำจิ้มข้าวขาหมู
         
          ข้าวขาหมู ถ้าให้กินแบบไม่มีน้ำจิ้มก็คงจะเลี่ยนไปหน่อย ใครที่ทำข้าวขาหมูเป็นแล้วก็ลองมาทำน้ำจิ้มข้าวขาหมูรสเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ กินแก้เลี่ยนควบคู่กันไปด้วย

 ส่วนผสม
         
           พริกชี้ฟ้าเหลือง 10 เม็ด

           กระเทียมไทย 20 กลีบ

           รากผักชี 3 ราก

           เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

           น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

 วิธีทำ
         
           1. โขลกพริกชี้ฟ้าเหลือง กระเทียม รากผักชี และเกลือเข้าด้วยกันพอหยาบ
         
           2. เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงไป คนให้น้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 13. น้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลา (สูตรโบราณ)
         
          ถึงเวลาไหว้เจ้าทีไร ก็จะได้กินไก่ต้มน้ำปลา หรือไก้ต้มถาดเบ้อเริ่ม แต่ถ้ากินแบบไร้น้ำจิ้มแซ่บ ๆ คงจะจืดชืดไร้รสชาติ มาทำน้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลากินเองซะเลยดีกว่า เตรียมไว้เวลาไหว้เจ้าปีหน้า จะได้พร้อมแซ่บ !

 ส่วนผสม
         
           พริกขี้หนู ปริมาณตามชอบ

           กระเทียม 5 กลีบ

           เกลือป่น สำหรับปรุงรส

           น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

           น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา

 วิธีทำ
         
           1. โขลกพริกขี้หนู กระเทียม และเกลือป่นพอหยาบ เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลปี๊บลงไป คนผสมให้ละลายเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมไก่ต้มน้ำปลา




 14. น้ำจิ้มขนมจีบ
         
          ใครที่ชอบกินขนมจีบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดันไม่ชอบกินคู่กับซอสเปรี้ยวหรือน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่เหม็น ๆ ก็ลองมาทำน้ำจิ้มขนมจีบสูตรนี้ เตรียมไว้กินกับขนมจีบดู ถึงจะมีจิ๊กโฉ่ผสมอยู่ด้วย แต่รสชาติกลมกล่อม เปรี้ยวอมหวาน อร่อยแน่นอน

 ส่วนผสม
         
           พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด

           กระเทียมไทย 2 ช้อนโต๊ะ

           น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

           ซอสเปรี้ยว (จิ๊กโฉ่) 2 ช้อนโต๊ะ

           เกลือ 1 ช้อนชา

 วิธีทำ
         
           1. โขลกพริกชี้ฟ้ากับกระเทียมเข้าด้วยกันจนละเอียด เตรียมไว้
         
           2. ใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย จิ๊กโฉ่ และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย ใส่เครื่องที่โขลกไว้ คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ



21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม


 15. น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม
         
          เวลากินอาหารประเภทลวกจิ้ม เราก็จะได้เห็นน้ำจิ้มเต้าเจี๊ยวเสิร์ฟมาเคียงคู่อยู่เสมอ กินคู่กันได้ความอร่อยที่เข้ากันดีมาก รสชาติไม่เผ็ดจนเกินไป แถมยังดับกลิ่นคาวของปลา หรืออาหารทะเลได้หมดจดอีกด้วย

 ส่วนผสม
         
           เต้าเจี้ยวดำ บดพอหยาบ 1/3 ถ้วย

           ขิงแก่โขลกละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ

           พริกขี้หนูสีเขียว-แดงสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ

           น้ำต้มสุก 1/4 ถ้วย

           น้ำมะนาว 1/4 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนชา

 วิธีทำ
         
           1. ใส่เต้าเจี้ยวดำบดลงในอ่างผสม ใส่ขิง พริกขี้หนู และน้ำต้มสุก คนผสมให้เข้ากัน
         
           2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว และน้ำตาลทราย คนผสมจนน้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 16. น้ำจิ้มเต้าหู้ทอด
         
          น้ำจิ้มเต้าหู้ทอดที่นอกจากจะไว้กินกับเต้าหู้ทอดได้แล้ว ยังสามารถไว้กินกับอาหารทอดเพื่อนซี้อย่าง เผือดทอด มันทอด และข้าวโพดดทอดได้อีกด้วย

 ส่วนผสม
         
           น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย

           น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย

           เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ

           ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/4 ถ้วย

           พริกป่น ปริมาณตามชอบ

 วิธีทำ
         
           1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และเกลือป่นลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนส่วนผสมเดือด และข้น ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้
         
           2. ตักส่วนผสมใส่ถ้วย เติมพริกป่น และถั่วลิสงคั่วบดหยาบ คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ




 17. น้ำจิ้มยำมะม่วง
         
          เวลาที่สั่งปลาแดดเดียวทอด ปลาทอดน้ำปลา ยำปลาดุกฟู ก็จะเห็นน้ำจิ้มยำมะม่วงถ้วยนี้เสิร์ฟมาเพิ่มรสชาติความแซ่บอยู่ด้วยเสมอ มีมะม่วงเปรี้ยวขูดเป็นเส้น ๆ เพิ่มความเปรี้ยวแซ่บขึ้นไปอีก

 ส่วนผสม
         
           น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ

           น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

           พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามความชอบ

           น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

           มะม่วงดิบสับเป็นเส้น

           หัวหอมแดงซอย

           เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ตามชอบ)

           ใบขึ้นฉ่ายหั่นท่อน

  วิธีทำ

           1. ใส่น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
           2. เติมน้ำมะนาวลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย ใส่พริกขี้หนูซอยมะม่วงสับ หอมแดงซอย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ และใบขึ้นฉ่าย พร้อมเสิร์ฟ




 18. น้ำจิ้มเทมปุระ
         
          อาหารญี่ปุ่นแบบทอดพวกเทมปุระ นอกจากจะมีความอร่อยกรุบกรอบของตัวอาหารเองแล้ว อย่าลืมนะคะว่า น้ำจิ้มเทมปุระก็ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญเช่นเดียวกัน ที่จะทำให้เทมปุระของคุณครบเครื่องความอร่อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มเทมปุระตำรับญี่ปุ่นแท้ ๆ มีทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุปดาชิ หรือน้ำซุปปลาโอแห้ง ที่จะทำให้น้ำจิ้มถ้วยนี้ของคุณ แตะความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ มากขึ้น มาดูวิธีทำกันเลยดีกว่า

 ส่วนผสม
         
           น้ำซุปดาชิ 1/2 ถ้วย (น้ำซุปปลา)

           ซีอิ๊วญี่ปุ่น (โชยุ) 1/3 ถ้วย

           เหล้ามิริน หรือสาเก 1/3 ถ้วย

           ขิงและหัวไช้เท้าขูดละเอียดปริมาณตามชอบ

 ส่วนผสม น้ำซุปดาชิ

           น้ำ 3 ถ้วย

           สาหร่ายคอมบุ (เช็ดให้สะอาด) 2 ชิ้น

           ปลาโอขูดแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ

          หมายเหตุ : ถ้าไม่สะดวกให้ใช้ผงฮอนดาดชิสำเร็จรูปผสมกับน้ำแทน

 วิธีทำ

           1. ทำน้ำซุปดาชิ โดยใส่น้ำลงในหม้อ ใส่สาหร่ายคมบุลงต้มด้วยไฟอ่อนจนสาหร่ายพองเต็มที่ (ประมาณ 30 นาที) ตักสาหร่ายออก
         
           2. ใส่ปลาโอขูดแห้งลงต้มด้วยไฟแรงจนเดือดอีกครั้ง ช้อนเอาฟองอากาศออก ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที จนเนื้อปลาจมลงด้านล่าง จากนั้นกรองเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
         
           3. ใส่น้ำซุปดาชิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และมิรินลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง ต้มจนเดือด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมกับกับขิงและหัวไช้เท้าขูด




 19. น้ำจิ้มเมี่ยงคำ
         
          อาหารว่างแบบไทย ๆ อย่างเมี่ยงคำ ทีเด็ดก็อยู่ที่น้ำจิ้มเมี่ยงคำ หวาน ๆ เค็ม ๆ ตักราดบนเครื่องเคียงเคี้ยวกันตำโต ๆ กินอิ่มกินเพลินกันได้ทั้งครอบครัว อร่อยครบเครื่อง แถมยังมีประโยชน์ด้วย วันหยุดนี้ใครอยากจะลองทำเมี่ยงคำกินกันก็ลองมาดูสูตรน้ำจิ้มเมี่ยงคำกันทางนี้เลย

 ส่วนผสม
         
           ข่าหั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น

           ตะไคร้ซอยบาง 1 ต้น

           กะปิอย่างดี 2 ช้อนชา

           น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย

           กุ้งแห้งโขลกละเอียด

           ถั่วลิสงโขลกละเอียด

           มะพร้าวคั่วโขลกละเอียด

 วิธีทำ
         
           1. โขลกข่ากับตะไคร้ให้ละเอียด ใส่กะปิลงโขลกผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
         
           2. ใส่น้ำ และน้ำตาลปี๊บลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่โขลกไว้คนผสมให้เข้ากัน เคี่ยวจนส่วนผสมเหนียวและข้น ยกลงจากเตา พักไว้พออุ่น
         
           3. ใส่กุ้งแห้งโขลก ถั่วลิสงโขลก และมะพร้าวคั่วโขลกลงคนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 20. น้ำปลาหวาน
         
          ถ้าพูดถึงมะม่วงเปรี้ยว ๆ ก็ต้องนึกถึงน้ำปลาหวาน ยังไงซะก็ต้องมาคู่กัน จิ้มกินกันเพลิน ๆ อร่อยสะใจดีจริง ๆ ถ้าวันไหนเกิดเปรี้ยวปาก อยากกินมะม่วงน้ำปลาหวานขึ้นมา ก็มาดูวิธีทำน้ำปลาหวานกันทางนี้ ทำใส่โหล แช่เก็บไว้ในตู้เย็นได้เป็นเดือน ๆ เลยนะจ๊ะ อยากจะกินตอนไหนก็จัดไปเลย

 ส่วนผสม
           
           น้ำตาลปี๊บ 200 กรัม

           กะปิอย่างดี 1 ช้อนชา

           น้ำปลาอย่างดี 4 ช้อนโต๊ะ

           กุ้งแห้งตำพอหยาบ  ¼ ถ้วยตวง

           หอมแดงซอยบาง  5 หัว

           พริกขี้หนูสวนซอย ปริมาณตามชอบ

 วิธีทำ
           
           1. ใส่น้ำตาลปี๊บ กะปิ และน้ำปลา ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนน้ำตาลปี๊บละลาย
           
           2. ใส่กุ้งแห้ง หอมแดงซอย และพริกขี้หนูซอย เคี่ยวจนน้ำปลาหวานมีลักษณะใสขึ้น ปิดไฟ ยกลง ทิ้งไว้สักพักให้ฟองหายไป
           
           3. ตักใส่ถ้วย โรยด้วยหัวหอมซอย และพริกขี้หนูซอยเล็กน้อย พร้อมเสิร์ฟ




 21. กะปิหวาน
         
          เวลาได้มะม่วงเปรี้ยวจี๊ดมาสักหนึ่งลูก นอกจากน้ำปลาหวานคู่ชีพแล้วจะมีอะไรเด็ดไปกว่า กะปิหวาน นึกถึงก็น้ำลายสอข้างปาก แผล่บ ! ลองมาดูวิธีทำกะปิหวานรสเด็ดที่ว่านี้กันเลยดีกว่า

 ส่วนผสม
         
           กะปิอย่างดี 5 ช้อนโต๊ะ

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           น้ำ 1/4 ถ้วย

           หอมแดงซอย

           พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามชอบ

 วิธีทำ
         
           1. ใส่กะปิ น้ำตาลทราย และน้ำ ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งบนไฟกลาง เคี่ยวจนข้นเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
           2. ใส่หอมแดง และพริกขี้หนูซอยลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ

Friday 15 August 2014

ปลอดภัยจากสิ่งใกล้ตัว

แอดมินขอเตือนภัยระวัง! 15 อาหารใกล้ตัว: ไม่ให้ประโยชน์ ยังอาจแถมโทษตามมาเวลาสมาชิกทานก็ต้องระวังกันให้มากหน่อยนะค่ะทานได้แต่น้อยไม่ควรทานบ่อยหรือไม่ควรรับประทานเลยนะค่ะเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเองค่ะ....
มีเกร็ดต่างๆ มาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับอาหารใกล้ตัวเราทุกวันนี้ ที่ล้วนแต่มีประโยชน์น้อย แถมมีโทษ.. ถ้าเจอแจ๊ตพอต อาจป่วย ไม่คุ้มกันหากยังใส่ใจกับสุขภาพของตัวคุณเอง ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะผลที่ตามมานั้นอันตรายเกินกว่าที่หลายคนจะระวังตัวเลยทีเดียว
1. ขนมปังปี๊บ วางขายทั่วไปตั้งแต่ร้านโชห่วยจนถึงซูเปอร์สโตร์เลยทีเดียว หลายคนชะล่าใจว่าวางขายในห้างแล้วจะปลอดภัยกว่าร้านขายของชำ จะบอกว่าวางขายที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น เพราะกระบวนการผลิตขนมปังบรรจุปี๊บบางแห่งไม่มีคุณภาพ แถมบางรสอย่างเช่น ไส้สับปะรด แท้จริงแล้วผู้ผลิตบางเจ้าใช้มันแกวหรือพืชอื่นๆ กวนใส่น้ำตาลแทนสัปปะรดจริง แล้วใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย เพื่อลดต้นทุนอย่างน่าเกลียด
2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด เชอรี่สีแดงสีเขียว วางประดับเหนือครีมสีขาวบนขนมเค้ก เราเห็นทั่วไปตั้งแต่ร้านเบเกอรี่จนถึงร้านขายของชำที่ชอบรับมาขายจากแหล่ง ที่บางครั้งก็ไม่ระบุที่มา หากเป็นเชอรี่เชื่อมของจริงผลจะมีสีแดงเข้ม รสชาดหวานอมเปรี้ยวจากผลไม้แท้ๆ แต่บางเจ้ากลับนำมะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น แล้วย้อมสีแดง ซึ่งก็คือผงฟอกสีทำให้เกิดภาวะเสื่อมในไตขนมหวานของหวานบางอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่ายังจะใช้สารฟอกสีไปทำไม แต่ก็ใช้ไปแล้ว ก็อย่างเช่น มะม่วงกวน (แผ่นใสๆ) หรือยอดมะพร้าวขาวๆ ฉะนั้นต้องดูให้ดี
3. ซูชิในตลาดนัด อาหารพื้นๆ สัญชาติญี่ปุ่น แต่ดันมาขายดิบขายดีในเมืองไทย และเมื่อแพร่ขยายมาถึงตลาดนัด ซึ่งผู้ขายจะนำมาจากแหล่งผลิตใด วัตถุดิบคืออะไร ก็ไม่มีใครทราบ แต่พอถึงเวลาขายก็เอาออกจากกล่องพลาสติกมาวางกลางอากาศร้อนๆ แถมในตลาดนัดรู้กันอยู่ว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค เมื่อของสดบวกกับความร้อนและเชื้อแบคทีเรียในอากาศ ผู้ที่ซื้อไปรับประทานก็จะมีอาการท้องร่วงท้องเสียตามมา
4. เอแคลร์-ลูกชุบ หรือขนมอะไรที่ต้องมีการปั้นๆ ถูๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย รวมถึงสีที่ใช้ซึ่งหลายเจ้าไม่ได้ใช้สีผสมอาหาร ใครทานเข้าไปก็เตรียมใจรับสารตะกั่ว ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงเท่านั้น
5. ลูกอมสีประหลาด ขึ้นชื่อว่าลูกอมก็ไม่ใช่ของที่น่ารับประทาน เพราะรู้กันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าทานมากก็ทำให้ฟันผุและมีน้ำตาลสูง แต่ถ้าเจอลูกอมสีแปลกๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง สีจัดๆ สีเหล่านี้พ่อค้าแม่ค้าชอบนำมาขายเพราะเก็บไว้นาน สีไม่ซีด แต่อันตรายจากสีในลูกอมนั้นเต็มไปด้วยสารตะกั่วและโลหะหนัก ....แต่ทางที่ดีที่สุด หลีกเลี่ยงลูกอมทุกสี ทุกรส เพือ่สุขภาพที่ดีของปากและฟันเป็นดีที่สุด
6. อาหารทะเลปลายฤดูร้อน ผู้หลักผู้ใหญ่เคยบอกไว้ว่าช่วงปลายหน้าร้อนเข้าหน้าฝนอย่าหาของทะเลกิน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะสภาพอากาศที่มีฝนแรกตกชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเล ซึ่งสัตว์ทะเลจะกินฝุ่นดินนี้เข้าไป ก็จะทำให้มีเชื้อไวรัส แบคทีเรีย มากกว่าปากติ ฉะนั้นโอกาสท้องเสียจึงมีสูง หากจะทานก็ควรล้างน้ำเกลือให้สะอาด เพื่อชะล้างฝุ่นดินโคลนออกเสีย
7.อาหารสำเร็จรูปไมโครเวฟ อาหารแพ็คสำเร็จรูปเดี๋ยวนี้มีวางขายหลากหลายยี่ห้อ ตอบสนองพฤติกรรมการกินของคนรุ่นใหม่ที่รีบเร่งและเน้นสะดวก หลายคนยังมีแก่ใจห่วงใยสิ่งแวดล้อม ยอมเอาบรรจุภัณฑ์พลาสติกใส่อาหารล้างสะอาดเก็บไว้ใช้ต่อ แต่พลาสติกชนิดนี้ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนำกลับเข้าไมโครเวฟมากกว่า 1 ครั้ง เพราะเคมีในพลาสติกจะซึมสลายปะปนกับอาหาร สะสมในร่างกาย
8. โยเกิร์ตตามซูเปอร์มาร์เก็ต จะมาเดี่ยวๆ หรือมาเป็นแพ็ค แต่สังเกตกันบ้างหรือไม่ว่าโยเกิร์ตสมัยนี้ทำไมจึงผลิตออกมาได้มากมาย หลายรส หลายกลิ่น และทำไมหลายคนกินแล้วมีแต่อ้วนขึ้น! ก็เพราะผู้ผลิตบางเจ้าเติมแป้งลงไปเพื่อให้ได้ปริมาณและความข้น ขณะที่ผลไม้เชื่อมที่ใช้ก็ถูกสลายเกลือแร่และวิตามินซีไปนานแล้ว สิ่งที่ได้คือแป้งแต่งกลิ่นนมเปรี้ยว เติมสีและรสสังเคราะห์ ทำให้โยเกิร์ตมีราคาถูกนั่นเอง วิธีทดสอบง่ายๆ ลองหยดทิงเจอร์ไอโอดีนตามการทดลองวิทยาศาสตร์ตอนเด็กๆ ดู หากเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แปลว่าคุณเจอโยเกิร์ตแป้งเข้าแล้ว
การทานโยเกิร์ตให้ได้รับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จากนม จึงควรเลือกแบบโฮมเมด มีรสและกลิ่นตามธรรมชาติของนม และรสธรรมชาติทานคู่กับผลไม้สด เมล็ดธัญญาหาร หรือน้ำผึ้ง จะได้รับประโยชน์เต็มๆ กว่า
9. น้ำปลาเปิดขวดแล้ว ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน เพื่อป้องกันการวางไข่ของแมลงวัน และเชื้อโรคตามอากาศที่ปะปนอยู่ในขวด
10. ขวดซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ที่เปิดใช้แล้ว แม้จะเก็บไว้อย่างดีในตู้เย็น แต่หากเปิดใช้เหลือเกินกว่าวันที่ฉลากระบุ ก็ต้องจัดการทิ้งถังขยะ เพราะเชื้อราตามคอขวดซอสเหล่านี้ เติบโตเร็ว
11. กระดาษหนังสือพิมพ์ แม้จะมีการลดจำนวนการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ในการห่ออาหาร แต่บางครั้งเราก็ยังเห็นแม่ค้านำมาห่อผักสด เข่งปลา วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป สารพิษจากหมึกจะปนเปื้อนในอาหารได้ ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะนำไปห่อผักแช่ตู้เย็น
12. อาหารกระป๋อง ถ้าใช้ไม่หมดควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น เพราะอากาศจะเร่งปฏิกิริยาให้อาหารปนเปื้อนสารจากกระป๋องได้ง่าย
13. ฟองน้ำล้างจาน ตามท่อ หรืออ่างล้างจาน เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ในฟองน้ำล้างจานก็เช่นกัน หากนำกลับมาใช้ซ้ำหลายๆ ครั้ง แบคทีเรียที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้จึงไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง หากต้องการกำจัดเบื้องต้น ก็มีเคล็ดลับง่ายๆ โดยนำฟองน้ำล้างจานไปแช่ในน้ำส้มสายชู แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ก็จะช่วยลดจำนวนแบคทีเรียที่อาจปะปนกับจานชามของเราได้ส่วนหนึ่ง....น่ากลัว จริงๆ นะ
14. อาหารหมักดอง ใครที่ชอบทานอาหารหมักดองเป็นประจำต้องระวังให้ดี เชื้อไวรัสในอาหารหมักดองมีฤทธิ์มากพอที่จะทำลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะอาหารหมักดองที่ขายตามตลาด เช่น ผักกาดดองในกะละมังโรงงานบางแห่งจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด (โดยใช้คนลงไปนวดผักในอ่างดอง โดยที่เราไม่แน่ใจว่าคนนั้นๆ มีโรคติดต่อหรือไม่) หากจะนำผักกาดดองไปปรุงอาหาร ควรเลือกผักกาดดองกระป๋อง หรือบรรจุซองที่ซีลแน่นหนา สะอาด ไม่รั่ว ไม่บุบ ไม่แตก
15. เบียร์สด บางคนอาจคิดไม่ถึง แต่เบียร์สดจะมีกรรมวิธีการผลิตแตกต่างจากเบียร์บรรจุขวด นั่นก็คือเบียร์สดจะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้ว ก็อาจจะทำให้ได้รับซากยีสต์จากการดื่มด้วย ซึ่งต้องระมัดระวังหากใครมีปัญหาเรื่องภูมิต้านทานแบคทีเรีย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.sanook.com/25-01-2010