Sunday 29 June 2014

วิธีรักษาแผลเบาหวาน

สูตร..วิธีรักษาแผลเบาหวาน
1. น้ำมันมะพร้าว 1000 ซีซี หรือ 1 ลิตร
2. ไข่แดงของไข่เป็ดเบอร์ 0 4-6 ฟอง
3. เนื้อลูกหมากสดแก่ๆ 2 ลูก
4. สารส้มสตุค่ะ 1 หัวแม่โป้ง
* ใช้ผ้าขาวบาง ปูบนชามแกง
* เอาไข่แดงที่แยกเรียบร้อยแล้ว ใส่ลงบนผ้าขาวบาง แล้วตีให้เป็นเนื้อเดียวกันเบาๆ
* ทุบเนื้อหมาก ให้แตกๆ ใส่ลงไปในผ้าขาวบางที่มีไข่ตีแล้ว
* ใส่สารส้มสตุ ลงไป แล้วผูกผ้าขาวบางให้เรียบร้อย
* เอาน้ำมันมะพร้าวตั้งไฟอ่อนๆ
* เอาผ้าขาวบาง หย่อนลงไป
* รอจนน้ำมันมะพร้าวเดือดปุดๆ แล้วมีน้ำมันไข่แดงออกมา
* สังเกตว่าจะเริ่มมีฟอง ก็ใช้ได้
* น้ำมันยาที่ได้จะมีสีเหลืองๆ อมส้ม
* เอาน้ำมันที่ได้ กรอกใส่ขวดไว้เป็นยาใส่แผล
ข้อดีของการใส่แผลด้วยยาจากน้ำมันมะพร้าวผสมไข่แดง คือ...ไม่ต้องล้างและคว้านแผล
ดังนั้น แผลจะค่อยๆดูดน้ำมันยา เข้าไปหล่อเลี้ยงและฟื้นฟูแผล ตัวที่ประสานแผลคือหมาก สารส้มจะมีฤทธิ์ช่วยดูดหนอง ไข่แดงคือเลซิตินที่ทำให้เซลส์ประสาทงอกขึ้นมาและดึง
ออกซิเจนเข้าแผลได้มากยิ่งขึ้นแผลจะตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วไม่เป็นแผลเป็น
การดูแลผู้ป่วยมีแผลเบาหวาน โดยไม่ต้องไปปลูกถ่ายสเตมเซลส์ ก็ลองวิธีนี้ดูนะคะ รักษาดีกว่าแผนปัจจุบัน ที่ต้องขูดแผล ล้างแผลทุกวันค่ะ..วิธีนี้ล้างครั้งแรก แล้วหยอดยาได้ตลอด แผลจะค่อยๆตื้นขึ้นมาค่ะ.....หมอปรียาภา

เครื่องดื่มที่คนไทยชอบ


Monday 23 June 2014

9 ข้อควรรู้ที่เราไม่เคยใส่ใจ

9 ข้อควรรู้ที่เราไม่เคยใส่ใจ
1. ยาคูลท์ขวดเล็กๆ มีส่วนผสม ของน้ำตาลทรายขาว 6 ช้อนชา
2. ร้านกาแฟโบราณรถเข็น ที่ขายโอเลี้ยง และชาดำเย็น มีต้นทุนค่ากาแฟเย็น แก้วละ 3 บาท
(ขณะที่มั่วๆ ขายเราแก้วละ 30 บาท ประหนึ่งว่าตัวเอง เป็นร้านกาแฟสด)

3. ร้านขายน้ำส้มคั้นสดๆ ตามร้านริมถนน จะมีสวนผสมของยาฆ่าแมลง อยู่ด้วยเสมอจากผิวเปลือกส้ม ที่ไม่ได้ล้าง หรือล้างไม่สะอาด
4. 95% ของร้านที่ผ่าไข่ด้วยเชือกด้าย เช่น ร้านข้าวหมูแดง ร้านก๊วยจั๊บ เชือกด้ายนั้น ไม่เคยเช็ค ไม่เคยล้าง ไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่เปิดร้าน จนปิดร้าน
5. 90% ของร้านขายข้าวขาหมู จะเอาคะน้าที่ไม่ได้ล้าง ไปลวกให้สุกในน้ำขาหมู ก่อนที่จะหั่นเนื้อ หันผัก และตักน้ำขาหมู มาราดข้าวให้เรา
6. 80% ของแม่ค้าขายของ ที่ใส่ถุงมือขายอาหาร จะใส่ถุงมือหยิบอาหาร และทอนเงิน
7. อาหารใส่ถุงที่ซื้อจากตลาด ในตอนเช้า แล้วกลางวันบูด แสดงว่า อาหารสกปรกมีเชื้อแบคทีเรีย แต่ถ้าไว้ข้ามคืน และไม่ได้ใส่ตู้เย็นอาหารก็ยังไม่เสีย แสดงว่า ใส่สารกันบูด
8.โรตีอาบังท่ีเข็นรถขายตอนเย็นๆ
กลางคืน เวลาบังปวดฉี่ บังจะไปยืนหลบๆต้นไม้ฉี่เสร็จ บังไม่ได้ล้างมือท่ีจับจู๋ฉี่ บังก็มาจับก้อนแป้งตบๆปี้ให้แบน เหวี่ยงให้เป็นแผ่นแล้วก็ทอดโรตีขายให้เรากิน กลิ่นก็จะทะเม่งๆกลมกล่อมพร้อมเชื้อโรค
9.รถเข็นขายไส้กรอกอิสาน ขายจนดึกกลับท่ีพัก ก็จอดรถเข็นไว้หน้า
ท่ีพัก ห้องเช่า โดยท่ีไม่ได้เก็บท่ีปิ้งย่างไส้กรอก ก็ทิ้งไว้บนรถเข็น. ตกดึกหนูก็จะมารุมแทะเศษหนังเศษมันของไส้กรอกท่ีติดอยู่ท่ีเหล็กเคร่ืองปิ้งกันมันแถมฉี่ใส่อีกต่างหาก พอสายๆตื่นมาคนขายก็มาปัดๆกวาดๆแล้วก็เตรียมของท่ีจะไปขายต่อ กินกันเข้าไปเชื้อโรคทั้งนั้น

Sunday 15 June 2014

16 ข้อดีของการดื่มน้ำมะนาวอุ่น





มะนาวเป็นแหล่งวิตะมินซีชั้นยอด ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นในการต่อสู้กับเชื่อโรคต่างๆของร่างกาย

มะนาวมีไฟเบอร์เพ็คตินซึ่งมีส่วนช่วยให้ลำไส้ทำงานดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยในการต้านทานแบคทีเรียต่างๆ

ช่วยให้ระดับความเป็นกรดเป็นด่างของร่างกายเกิดความสมดุล

การดื่มน้ำมะนาวอุ่นในตอนเช้าช่วยล้างสารพิษในร่างกาย

ช่วยในการย่อยอาการและช่วยในการผลิตน้ำดี

เป็นแหล่งของกรดเปรี้ยว โปตัสเซี่ยม แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัสและแม็กนีเซี่ยม

ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตและการเพิ่มของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ซึ่งเป็นสาเหตุของทำให้เกิดการติดเชื้อและโรคต่างๆ

ช่วยลดอาการปวดและการอักเสบในข้อต่อหัวเข่าและโดยเข้าไปละลายกรดยูริค

ช่วยรักษาอาการหวัด

โปตัสเซียมในมะนาวจะช่วยบำรุงสมองและเซลล์ประสาท

เพิ่มความแข็งแกร่งของตับโดยการให้พลังงานสำหรับเอนไซม์ในตับ หากเอ็นไซม์มีจำนวนลดลง

ช่วยปรับสมดุลของแคลเซียมและระดับออกซิเจนในตับในกรณีของการเผาผลาญของหัวใจ การดื่มน้ำมะนาวเข้มข้นสามารถช่วยให้ผ่อนคลายได้

ให้ประโยชน์สูงสุดต่อผิวหนังและช่วยป้องกันการก่อตัวของริ้วรอยและสิว

มันจะช่วยรักษาสุขภาพของดวงตาและช่วยให้การต่อสู้กับปัญหาสายตา

ช่วยในการผลิตน้ำย่อยอาหาร

น้ำมะนาวจะช่วยเพิ่มกลือสำหรับร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากช่วงการออกกำลังกายที่หนักหน่วง

อาหารต้านภูมิแพ้เพื่อสุขภาพกัน

หน้าฝนใครแพ้อากาศ ต้องหมั่นทานอาหารต้านภูมิแพ้ 

สำหรับคนที่มีอาการแพ้อากาศหรือเป็นโรคภูมิแพ้จมูก มีกลุ่มอาหารต้านภูมิแพ้ ที่ควรจะรับประทานบ่อยๆ ประกอบด้วย

กลุ่มวิตามินซี ซึ่งช่วยในการป้องกันการหลั่งฮีสตามีน สารสำคัญที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้อากาศ แหล่งวิตามินซีที่สำคัญพบในผักใบเขียว เช่น ตำลึง ผักโขม บร็อคโคลี และกะหล่ำปลี ในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น สับปะรด ส้ม สตรอเบอร์รี่ และมะนาว 

กลุ่มวิตามินเอ อาหารต้านภูมิแพ้ในกลุ่มวิตามินเอช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อ เสริมสร้างเยื่อบุต่างๆ ทั้งยังบรรเทาอาการเมื่อได้รับสารกระตุ้นภูมิแพ้ โดยวิตามินเอพบมากในกลุ่มผักผลไม้ที่มีสีเขียวเข้ม 
สีส้ม หรือสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท มะละกอสุก มะม่วงสุก 
แคนตาลูป และมะเขือเทศ 

กลุ่มโปรตีน หมดจากกลุ่มวิตามินซึ่งได้จากผักผลไม้กันแล้ว ก็ถึงกลุ่มโปรตีนที่จะช่วยลดอาการแพ้อากาศได้ด้วย เพราะโปรตีนช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย โดยหน่วยย่อยเล็กที่สุดของโปรตีนคือกรดอะมิโน สารสำคัญในการนำไปสร้างภูมิคุ้มกันต่างๆ โปรตีนจะมีมากในเนื้อสัตว์ที่เป็นเนื้อล้วน เนื้ออกไก่ เนื้อหมู และไข่ไก่ หรือจะเลือกทานถั่วต่างๆ ก็ได้ประโยชน์จากโปรตีนเช่นกัน 

กลุ่มโอเมก้า 3 อาหารต้านภูมิแพ้กลุ่มต่อไปช่วยลดอาการอักเสบ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายให้สามารถต่อสู้กับกลุ่มเชื้อโรค หรือสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย กลุ่มโอเมก้า 3 พบมากในปลาทะเลน้ำลึก ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และปลากะพง อย่างไรก็ตาม อาหารกลุ่มนี้แม้จะดีต่อคนที่มีอาการแพ้อากาศ แต่อาจมีส่วนไปกระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้ ในเด็กจึงต้องระวังเป็นพิเศษ ในกรณีการแพ้อาหารทะเล นอกจากนี้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน พบมากในเมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่วเหลือง และผักใบสีเขียวเข้ม 

กลุ่มซีลิเนียม กลุ่มต่อไปเป็นกลุ่มอาหารที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม หรือสารกระตุ้นภูมิแพ้ พบมากในพืชตระกูลหอม เช่น หอมหัวใหญ่และหอมแดง

กลุ่มฟลาโวนอยด์เควอเซทิน อาหารต้านภูมิแพ้กลุ่มสุดท้ายเป็นสารต้านอาการแพ้และลดการอักเสบ ช่วยยับยั้งการปล่อยสารฮิสตามินซึ่งเป็นตัวกระตุ้นอาการภูมิแพ้ พบมากในกระเทียม และพืชตระกูลหอม อย่างหอมหัวใหญ่ หอมหัวแดง ในแครอท ผักกาดหอม และแอปเปิ้ล 

หมั่นดูแลสุขภาพบ่อยๆ ด้วยการรับประทานอาหารต้านภูมิแพ้ ที่ช่วยลดอาการแพ้อากาศ หน้าฝนหรือฤดูไหนๆ ก็ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป

http://th.openrice.com/

มะกรูด` ป้องกัน `ยุงลาย` ช่วยลดไข้เลือดออก



`มะกรูด` ป้องกัน `ยุงลาย` ช่วยลดไข้เลือดออก

เผยภูมิปัญญาชาวบ้าน อสม.คลองวัว จ.อ่างทอง ใช้ "มะกรูด" ป้องกัน "ยุงลาย" โดยใช้ผลมะกรูดใส่ในน้ำแทนทรายอะเบทป้องกันยุงลาย

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 57 อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) คลองวัว ต.คลองวัว อ.เมือง จ.อ่างทอง ได้คิดค้นวิธีป้องกันยุงลายแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยได้นำผลมะกรูดที่มีอยู่ในชุมชนใส่ลงภาชนะเปิดที่บรรจุน้ำแทนทรายอะเบท โดยได้นำไปใส่ตามโอ่ง หรือภาชนะเปิดที่บรรจุน้ำภายในหมู่บ้าน ซึ่งได้ผลตอบรับจากประชาชนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี เนื่องจากมีกลิ่นหอมและสะดวกในการใช้ โดยหมู่บ้านคลองวัวนั้นชาวบ้านทุกหลังคาเรือน ได้มีต้นมะกรูดอยู่บริเวณบ้านและปลูกจำหน่ายเป็นจำนวนมาก เมื่อทราบว่าผลมะกรูดใช้แทนทรายอะเบทได้ มีกลิ่นหอมและยังป้องกันลูกน้ำยุงลายได้นั้น จึงเป็นที่นิยมของประชาชนในหมู่บ้านที่เก็บนำผลมะกรูดมาใส่ในภาชนะที่บรรจุน้ำในบริเวณบ้าน

นายโนรี วงษ์เขียว นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคลองวัว ต.คลองวัว อ.เมือง จ.อ่างทอง เปิดเผยว่า กลุ่ม อสม.คลองวัว ได้คิดค้นนำผลมะกรูดสด นำมาคลึงจนได้ที่ ให้น้ำมันหอมระเหยออกมา แล้วเอาไปใส่ในภาชนะบรรจุน้ำ พบว่ามีคราบน้ำมันเป็นฟิล์มลอยอยู่ในน้ำจำนวนมาก ทำให้ลูกน้ำยุงลายไม่สามารถขึ้นมาหายใจได้จนตายไป และยุงลายที่จะมาวางไข่ใหม่ ก็ทำไม่ได้ จึงนำไปใช้ทดลองในหมู่บ้านและนำผลงานไปใช้ประกวดผลงานของ อสม.ได้รับรางวัลชนะเลิศในระดับอำเภอ และได้นำมาเผยแพร่ให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้รับทราบ จึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากในหมู่บ้านมีการปลูกต้นมะกรูดจำหน่ายอยู่แล้ว และเป็นผลพลอยได้ที่ดีกว่าการใช้ทรายอะเบท เนื่องจากชาวบ้านไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือในการใช้ทรายอะเบท และไม่ยอมนำไปใส่ในภาชนะบรรจุน้ำ เนื่องจากกลัวน้ำจะเสีย และบางคนบอกว่ามีกลิ่นเหม็น กลัวอันตราย แต่เมื่อทราบว่าผลมะกรูดใช้แทนได้จึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เนื่องจากมีกลิ่นหอมและชาวบ้านคุ้นเคยแบบธรรมชาติ

http://www.thaihealth.or.th/

ขาวบลิ๊ง" ง่าย ๆ ด้วยผักผลไม้ใกล้ตัว

"ขาวบลิ๊ง" ง่าย ๆ ด้วยผักผลไม้ใกล้ตัว

สาวๆ ที่อยากมีผิวขาวสวยใสฟังทางนี้!!!

เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก "กลูตาไธโอน" กันใช่ไหมคะ สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย และมีผลทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาวได้อีกด้วย ผู้หญิงที่อยากมีผิวขาวใสมีออร่าเลยต้องไปฉีดกลูตาไธโอนเข้าเส้นเลือด ซึ่งเสี่ยงต่ออันตรายมากๆ ส่วนอาหารเสริมที่มีวางขายกันเกลื่อนนั้นก็มีราคาแพงเหลือเกินและยังไม่แน่ว่าจะได้ผลหรือเปล่า

ทั้งที่จริงๆ แล้ว "สารกลูตาไธโอน" เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง โดยร่างกายจะสังเคราะห์จากอาหารที่ทานเข้าไป เรียกว่า Universal Antioxidant เกิดจากการจับตัวกันในรูปแบบ Tri-peptides ของกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine Glycine และ Glutamic แต่เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณของสารชนิดนี้ในร่างกายก็จะลดน้อยลง

แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เรามีวิธีช่วยเพิ่มสารกลูตาไธโอนในร่างกายแบบที่ไม่เป็นอันตราย นั่นก็เพราะสารนี้มีอยู่ในผักและผลไม้ใกล้ๆ ตัวเรานี่เอง

สำหรับผลไม้ที่ช่วยเสริมสร้างผิวพรรณให้สวยงามและขาวกระจ่างใสนั้นมีหลายอย่างเลยค่ะ อย่างแรก แตงโม มีสารที่เรียกว่า lycopene ที่มีแอนตี้ออกซิเดนท์และวิตามินซี ช่วยให้ผิวแข็งแรง

อโวคาโด ขึ้นชื่อว่าอุดมด้วยวิตามินอีและมีแอนตี้ออซิเดนท์ นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี 1 บี 2 และบี 6 รวมถึงไนอาซีน กรดโฟลิก โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส เปี่ยมไปด้วยคุณค่าจริงๆ ค่ะ ผลไม้ชนิดนี้

ลืมเสียไม่ได้กับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ทั้งสตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ เหล่านี้ล้วนมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ไม่เพียงแค่นั้นยังมีไบโอฟลาโวนอยดฺ์ วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน และอิลาสตินที่ทำให้ผิวหนังแข็งแรง

ส่วนองุ่นสีม่วง ก็เป็นผลไม้ที่มี Resveratrol แอนตี้ออกซิแดนต์สำคัญ ป้องกันผิวเหี่ยวก่อนวัย ลดความเสื่อมของอวัยวะในร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ร่างกายสมดุลอีกด้วย

ปิดท้ายด้วยผักกันบ้าง หน่อไม้ฝรั่ง มีสารที่มีกลูต้าไธโอน อุดมไปด้วยวิตามินซีช่วยบำรุงผิวพรรณได้ดี

เคล็ดลับการปรุง: หลีกเลี่ยงการใช้ไฟแรงในการทำอาหาร

นอกจากรับประทานผักและผลไม้แล้ว หมั่นออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เท่านี้ก็ขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติได้แล้วค่ะ

http://th.openrice.com/bangkok/

ข้าวสารสามกระสอบ

“แม่ครับ ผมไม่เรียนแล้ว ผมจะออกมาทำนาช่วยแม่”
นางลูบหัวลูกชายสุดที่รักด้วยความเอ็นดู แล้วพูดว่า
“แม่รู้ว่าลูกรู้สึกยังไง ขอบใจมาก แต่ลูกต้องเรียนหนังสือ จงวางใจ แม่เกิดเจ้ามา แม่ก็เลี้ยงดูเจ้าได้ ไปรายงานตัวก่อน ส่วนข้าวสารนั้น แม่จะเอาไปให้วันหลัง ลูกไม่ต้องห่วง! ”
“ให้ผมออกจากโรงเรียนเถอะ ผมจะมาช่วยแม่ทำงาน!”ลูกชายยังคงยืนยันคำตอบเดิม
“เพี๊ยะ!”เสียงมือของนางกระทบใบหน้าของลูกชาย นี่เป็นครั้งแรกที่นางตบหน้าลูกชายวัย16ปี
ลูกชายก้มหน้าร้องไห้ออกจากบ้านไป นางมองลูกชายด้วยความรู้สึกผิด น้ำตาแห่งความสงสารก็ไหลออกมาอาบแก้ม

สามีของนางจากไปตั้งแต่ลูกชายอายุได้7ขวบ แต่นางไม่ได้แต่งงานใหม่ เพราะกลัวว่าสามีใหม่จะไม่รักลูกของนาง
นางยอมอดทนหาเลี้ยงตัวเองและลูกด้วยการทำนาปลูกผักรับจ้างบ้างในบางครั้ง
ลูกชายของนางเป็นเด็กเรียนดี ดูได้จากใบประกาศและถ้วยรางวัลถูกวางซ้อนกันบนตู้เก็บของจนแทบจะไม่มีที่วางแล้ว นางยิ้มได้ทุกครั้งที่เห็นลูกตั้งใจอ่านหนังสือและทำการบ้าน

เมื่อลูกชายของนางจบมัธยมต้น ก็สอบเข้าโรงเรียนประจำอำเภอได้ ตอนนี้นางเป็นโรครูมาตอยด์ ทางโรงเรียนมีมติว่าให้ผู้ปกครองนำข้าวสารมาให้โรงเรียน30กิโล เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน เมื่อลูกชายรู้ว่าแม่ทำนาและรับจ้างต่อไปไม่ไหว จึงไม่อยากเรียนต่อ ด้วยความรู้สึกสงสารแม่ของตัวเอง เพราะเหตุนี้ นางจึงตบหน้าลูกไปในวันนี้

ไม่นานต่อมา ทางโรงเรียนก็ได้ต้อนรับคุณแม่ผู้มาสาย นางแบกถุงข้าวสารเดินมาด้วยอาการกระเผลก อาจารย์ผู้รับผิดชอบเปิดถุงข้าวสารเพื่อตรวจเช็ค เมื่อกำเอาข้าวสารขึ้นมาดู เขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า
“ผู้ปกครองอย่างพวกคุณ ชอบเอาเปรียบโรงเรียนแบบนี้เหรอ! ดูสิๆ นี่อะไร!มีทั้งข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ข้าวก่ำ ข้าวหักฯ พวกคุณเห็นโรงเรียนของเราเป็นถังข้าวผสมเหรอ?”
เมื่อได้ฟังอาจารย์พูด นางก็ก้มหน้าด้วยความละอาย เอาแต่พูดว่า “ขอโทษค่ะๆ” เมื่ออาจารย์เห็นดังนั้น ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่รับข้าวสารกระสอบนั้นไว้อย่างไม่เต็มใจนัก
นางล้วงมือเข้าไปในถุงใบเก่าๆเล็กๆใบหนึ่ง พร้อมกับหยิบเอาเศษเหรียญออกมาหนึ่งกำมือยื่นให้อาจารย์
“อาจารย์คะ นี่เป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือนนี้ของลูกชายอิฉัน ขอรบกวนอาจารย์ช่วยเก็บไว้ให้เขาหน่อยนะคะ” อาจารย์ยืนมือไปรับไว้และก็ส่ายหัวไปมา
“คุณขายไข่ปิ้งเหรอ?” อาจารย์พูดเยาะ
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางต้องก้มหน้าด้วยความอาย ได้แต่พูดว่า “ขอบคุณค่ะๆ” แล้วก็เดินกระเผลกๆออกไป

ต้อนเดือนที่สอง นางก็แบกข้าวสารมาให้โรงเรียนเหมือนครั้งที่แล้ว เมื่ออาจารย์คนเดิมเปิดถุงข้าวสารออกมา ก็ต้องขมวดคิ้วเหมือนครั้งก่อน เพราะมันเป็นข้าวสารรวมมิตรเหมือนเดิมอีกแล้ว เขาคิดในใจว่านางคงฟังไม่เข้าใจแน่ๆ ครั้งนี้จะต้องพูดให้นางเข้าใจอย่างชัดเจน
“ถ้าเป็นข้าวสาร เรารับไว้แน่นอน แต่ต้องแยกประเภท ไม่ใช่ปนกันมาอย่างนี้ ครั้งหน้าอย่าทำอย่างนี้อีกนะ หากครั้งหน้ายังเป็นอย่างนี้อีก ผมจะไม่รับนะ” เมื่อนางได้ยินก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“อาจารย์คะ ข้าวสารที่บ้านของเราเป็นอย่างนี้ จะทำยังไงดี?”
เมื่ออาจารย์ได้ยินก็หัวเราะด้วยความรู้สึกขำ แล้วก็ถามกลับไปว่า
“จะบ้าเหรอ! บ้านของคุณทำนายังไงปลูกข้าวได้หลายชนิดในแปลงเดียวกัน ”
โดนฉีกหน้าอย่างนี้ นางรู้สึกจุกที่ลำคอ ไม่รู้จะพูดอะไรดี อาจารย์คนนั้นก็เดินจากไปแบบไม่ใยดี

ต้นเดือนที่3 นางก็มาอีก เมื่ออาจารย์คนนั้นได้เห็นข้าวสารที่ยังเหมือนเดิมอยู่ ก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง ตะคอกออกไปอย่างขาดสะติว่า
“โอ๊ย! อะไรกันเนี่ย ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง? ทำไมยังเอาข้าวผสมกันมาอีกแล้ว เอาไปเลยนะ เอากลับไปเลย แบกมายังไงก็แบกกลับไปอย่างนั้น ฉันไม่รับอีกแล้ว! ”
นางคุกเข่าลงไปกับพื้นทันที ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร
“อาจารย์คะ ฉันขอบอกตามความจริง ข้าวเหล่านี้ฉันไปขอ.....ไปเขาทานมาค่ะ ”
อาจารย์คนนั้นยืนตะลึงอ้าปากค้าง พูดไม่ออก ได้แต่กรอกตาไปมา
นางนั่งอยู่กับพื้น ถลกขากางเกงขึ้นมา ให้อาจารย์เห็นขาทั้งสองข้างที่บิดเบี้ยวไม่ได้รูปอีกทั้งบวมเป่ง นางเอามือปาดน้ำตาแล้วพูดว่า
“ฉันเป็นโรครูมาตอยด์ระยะที่สาม แม้แต่จะเดินก็ลำบากมาก ไหนเลยจะทำนาได้อีก ลูกชายของฉันเป็นเด็กรู้ความ จะลาออกจากโรงเรียนออกมาช่วยฉันทำนา ถูกฉับตบหน้าถึงได้กลับมาเรียนต่อ.... ”
นางเล่าว่า นางไม่กล้าบอกความจริงกับลูกและญาติๆของนาง เพราะกลัวว่าลูกชายและญาติจะอับอาย ทุกๆวันตอนเช้ามืด นางจะเดินทางออกจากบ้านไปยังหมู่บ้านอื่นหลายสิบกิโลเพื่อขอข้าวสาร จากนั้นก็ต้องรอให้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว นางถึงจะกลับมาที่บ้าน เมื่อได้ข้าวมา นางจึงเอามารวมกันในถังข้าวสาร

นางก้มหน้าเล่าไปร้องไห้ไป โดยไม่รู้ว่าอาจารย์คนนั้นก็ร้องไห้น้ำตาอาบแก้มเหมือนกับนาง เขาคุกเข่าลงไปพยุงนางขึ้นมา
“คุณเป็นแม่ที่ประเสริฐเสียจริง ผมจะไปรายงานให้อาจารย์ใหญ่ทราบ ขอให้ทางโรงเรียนนำเงินมาช่วยเหลือคุณและครอบครัว” เมื่อนางได้ยิน นางรีบโบกไม้โบกมือ
“อย่านะคะ อย่าทำอย่างนั้น หากลูกของฉันรู้ว่าฉันไปขอข้าวเพื่อมาเลี้ยงเขา เขาจะอับอาย อย่าบอกใครนะคะ อาจารย์เมตตาอิฉัน อิฉันขอขอบพระคุณ ขอให้อาจารย์เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะคะ อย่าได้บอกใคร!”
เมื่อนางกลับไปแล้ว เรื่องของนางก็ถึงหูของอาจารย์ใหญ่ อาจารย์ใหญ่จึงงดเก็บค่าเทอมของลูกชายนางทั้ง3ปี

หลังจาก3ปีผ่านไป ลูกชายของนางก็สอบติดมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ด้วยคะแนนที่สูงลิ่ว ในวันมอบใบประกาศนียบัตร อาจารย์ใหญ่ได้เชิญว่าที่นักศึกษาลูกชายของนางขึ้นเวที ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะเพื่อนที่เรียนเก่งและได้คะแนนดีกว่าเขา ทำไมไม่ถูกเรียก แต่กลับเป็นเขาที่ถูกเรียกขึ้นเวทีแทน
และที่น่าประหลาดใจก็คือ บนเวทีมีกระสอบพลาสติกเก่าๆ3ใบวางไว้ อาจารย์ใหญ่ให้อาจารย์ที่อยู่ประจำโรงอาหารขึ้นมาเล่าเรื่องแม่ขอข้าวส่งลูกเรียนหนังสือให้ทุกคนฟัง ทุกคนต่างก็นั่งน้ำตาซึมไม่มีเสียงพูดใดๆ อาจารย์ใหญ่ชี้มือไปที่กระสอบทั้ง3ใบแล้วพูดว่า
“นี่คือข้าวสาร3กระสอบที่คุณแม่ท่านนั้นออกไปขอทานมา นี่คือข้าวสารที่ไม่อาจใช้เงินซื้อหามาได้ ตอนนี้ขอเชิญคุณแม่ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ขึ้นมาบนเวที”
ว่าที่นักศึกษามองไปข้างล่างเวที ก็เห็นอาจารย์ที่อยู่ประจำโรงอาหารพยุงคุณแม่ของเขาเดินขึ้นเวทีมา ไม่มีใครรู้ว่าบุตรชายของนางคิดอะไรอยู่ เมื่อแม่ของเขามาหยุดยืนอยู่ต่อหน้า เขาก็คุกเข่าลงไปกราบแม่และพูดว่า “แม่....ผมขอโทษ.....”


@@@@

ลูกรัก ต่อให้ลำบาก แม่ก็จะทำเพื่อลูก!
คุณละครับ ทำอะไรเพื่อพ่อแม่แล้วหรือยัง?

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ นุสนธิ์บุคส์

ผลไม้สำหรับคน ลดความอ้วน




วิธีลดความอ้วน วิธีหนึ่งนนคือลดการรับประทานแป้ง ของทอด และหันมารับประทานผลไม้ให้มากขึ้น แต่ผลไม้ที่รับประทานเข้าไปนั้นท่านรู้หรอไม่ว่ามีปริมาณน้ำตาลอยู่มากน้อยเพียงใด เพราะฉะนั้นแล้ว การรับประทานผลไม้ก็ควรใส่ใจซักนิดว่ามันเหมาะกับผู้ที่ ลดความอ้วน ได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นแล้วแผนการ ลดความอ้วน ของคุณก็อาจจะล้มเหลวเหมือนครั้งก่อนๆก็เป็นได้ วันนี้ Healthyenrich จึงได้นำผลไม้ที่เหมาะกับผู้ที่กำลัง ลดความอ้วน และเสริมสร้างสุขภาพที่ดีไปพร้อมกัน มีอะไรบ้าง ติดตามกันได้เลยครับ
แอ๊ปเปิ้ล
แอ็บเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ ลดความอ้วน แอ๊ปเปิ้ล1ลูกให้พลังงาน 59 Cal ถือว่าเป็นเจ้าแห้งผลไม้ของการลดน้ำหนัก เลยก็ว่าได้ เพราะประกอบด้วยเส้นใยและไฟเบอร์อยู่มาก อีกทั้งยังมีน้ำตาลฟรักโทส ที่จะรักษาระดับน้ำตาลในตัวของคุณไม่ให้ต่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการหิว เพคติน ที่อยู่ในแอ๊บเปิ้ลมีคุณสมบัติพองตัวได้มาก จึงช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นไปอย่างปรกติ ช่วยจับไขมันและคอเรสเตอรอล แถมยังช่วยป้องกันมะเร็งลำใส้ใหญ่ นี่ละผลไม้ของผู้ที่ลดความอ้วนจริงๆ!
ฝรั่ง
ผรั่งเต็มไปด้วยวิตามินซี และให้พลังงานต่ำเช่นกัน นอกจากนั้นวิตามินซีในผรั่งยังช่วยสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวพรรณแต่งตึง แต่หลายๆคนมักรับประทานฝรั่งจิ้มกับพริกเกลือ ซึ่งต้องระวังในจุดนี้ด้วย ไม่ควรจิ้มมากเกินไปเพราะอาจจะทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินไปได้
ส้ม
ข้อดีของส้มคือมีกากใยสูง ช่วยให้อิ่มท้องและทำให้ระบบขับถ่ายสมบูรณ์ แต่ส้มมีพลังงานค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงควรรับประทานให้พอเหมาะ
แก้วมังกร
แก้วมังกรมีแคลอรี่ต่ำแต่ให้เส้นใยสูง เหมาะกับการรับประทานเป็นอาหารเย็น เพราะเส้นใยจำนวนมากจะทำให้เรารู้สึกอิ่มท้องได้ดี มีวิตามินซีสูง แถมยังเหมาะกับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรเพราะแก้วมังกรสามารถช่วยกระตุ้นน้ำนมได้ดี
เพราะฉะนั้นแล้วผู้ที่กำลังหันมารับประทานผลไม้เพื่อลดความอ้วนควรมองดูซักนิดว่าผลไม้ที่รับเราประทานเข้าไปนั้นมีปริมาณน้ำตาลมาก น้อย เพียงใด ก็จะทำให้การ ลดความอ้วน ของคุณเห็นผลได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน

7 สุดยอดผักบำรุงสายตา


ดีท็อกลำใส้

อ่านพบว่าแพทย์ที่ผ่าศพมักจะพบอุจจาระตกค้างอยู่ในลำใส้ผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก อุจจาระที่ตกค้าง
นี้ อาจจะมีผลทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้และโรคอื่นๆได้

นี่คือสูตรเครื่องดื่มตอนเช้าก่อนมื้ออาหารที่จะช่วยดีท็อกลำไส้ให้สะอาดขึ้น


วิธีการเตรียม : มะนาวหนึ่งลูกล้างให้สะอาด ผ่าเอาเมล็ดออก บีบน้ำมะนาวใส่แก้ว พร้อมเปลือก กับน้ำผึ้ง1ช้อนชา เกลือเล็กน้อย เติมน้ำอุ่นครึ่งแก้วคนให้ทุกอย่างเข้ากันแล้วเติมน้ำสักค่อนแก้ว ดื่มทุกเช้า จะรู้สึกถ่ายท้องง่ายขึ้นและบ่อยขึ้น สองวันแรกที่ดื่ม กลิ่นอุจจาระที่ถ่ายออกมาจะมีกลิ่นแรงมากและกลิ่นจะไม่เหมือนกลิ่นเดิมๆที่เคยถ่ายทุกเช้า เหมือนว่าเป็นอุจจาระที่ตกค้างนานเกินไปในลำไส้และถูกขับออกมา จึงมีกลิ่นแรงกว่าปกติ แต่ที่รู้สึกดีมากๆคือรู้สึกว่าถ่ายง่าย ถ่ายหมดกว่าที่เคยเป็นครับ


ดร.พนม ปีย์เจริญ
11 มิถุนายน 2557

Saturday 14 June 2014

3 สิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด ถ้าไม่อยากให้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตแบตฯเสื่อม

สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตไม่ว่าจะรุ่นไหนนี่ห้ออะไรก็ตามถึงแม้จะมีราคาแพงหรือไม่แพงก็ตามที แต่เราก็อยากให้มันใช้งานได้นานๆ ใช่ไหมละครับ เพราะฉะนั้นการใช้งานก็ต้องทะนุถนอมและดูแลมันหน่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแบตเตอรี่ ยิ่งกับสมาร์ทโฟนแท็บเล็ตแบบเปลี่ยนแบตฯไม่ได้อย่าง iPhone , iPad , HTC M8 หรือแท็บเล็ตมากมายหลากหลายรุ่นแล้วละก็ มักจะจุ๊งกับปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม ซึ่งแน่นอนปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมถ้าเกิดขึ้นแล้วจะแก้ได้อย่างยิ่ง แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราจะช่วยถนอมแบตฯของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตให้ไม่เสื่อมหรือเสื่อมช้าลง ด้วยข้อห้ามง่ายๆ 3 ข้อด่านล่างนี้เองก็จะช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ของท่านได้แล้ว
1 อย่าให้แบตเตอรี่ร้อนจัด
เป็นที่รู้กันานที่ผู้ผลิตกำหนดว่าเมื่อแบตเตอรี่มีอุณหภูมิที่สูงเกินมาตรฐาน จะทำให้ Cell แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ส่งผลให้แบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเสื่อมเร็วตามไปด้วย แถมยังทำให้แบตเตอรี่คายประจุไวขึ้น ทีนี้ต่อให้เปิดทิ้งไว้เฉยๆ หรือแม้แต่ปิดก็เกิดอาการแบตหมดเอาได้ง่ายๆ นะครับ
วิธีแก้ปัญหานี้ก็ไม่ยากเลยครับ เวลาเราเล่นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตแล้วรู้สึกว่าตัวเครื่องเริ่มร้อน ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฟในปริมาณมาก หรืออากาศที่ร้อน เมื่อรู้สึกว่าเครื่องเริ่มร้อนพยายามอย่าเล่นมือถือต่อ ให้วางพักไว้จนความร้อนระบายออกไปก็จะเป็นอีกหนทางง่ายๆ ที่จะช่วยทำให้แบตไม่เสื่อมสภาพหรือเสื่อมสภาพน้อยที่สุดได้ครับ นอกจากนี้ความร้อนที่เกิดขึ้นก็ยังสามารถเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ได้ด้วยไม่ว่าจะเป็น
เปิด 3G หรือ Data ตลอดเวลา ส่งผลให้มีการโหลดข้อมูลอยู่โดยตลอด สังเกตได้เลยครับเวลาที่เราเปิด 3G แล้วเล่นโทรศัพท์เครื่องจะร้อนไวกว่าตอนใช้งาน WiFi
เล่นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในที่ที่มีแสงแดดจัดๆ , กลางแจ้ง หรือเล่นในที่ที่อากาศไม่ถ่ายเท ซึ่งเมื่อรวมกับอากาศในประเทศไทยแล้วอาจทำให้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตมีอุณภูมิสูงขึ้นมากกว่าปกตินั่นเองละครับ
ชาร์จไปเล่นไป อีกหนึ่งตัวการทำแบตเตอรี่เสื่อมเลยละครับเพราะในการใช้ไปเล่นไปจะทำให้แบตเตอรี่ใช้งานหนักกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้ร้อนและทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ในที่สุด
ใส่ Case บางชนิด โดยเฉพาะพวกเคสซิลิโคนคุณภาพต่ำที่จะทำให้สะสมความร้อน จนในที่สุดความร้อนก็ตีกลับไปที่ตัวแบตเตอรี่เอง

2 อย่าปล่อยให้แบตหมด
แบตเตอรี่ประเภท Lithium-Ion (Polymer) เป็นแบตเตอรี่ที่เป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ล่าสุดในตลาดปัจจุบัน ซึ่งมีคุณสมบัติที่สามารถชาร์จซ้ำได้ (Rechargeable) แต่หลายๆ คนอาจจะคิดว่าเมื่อหมด ก็ชาร์จใหม่ก็ได้ ไม่มีปัญหา แต่นั่นแหละครับคือปัญหา เพราะแบตประเภท Lithium-Ion (Polymer) ถ้าปล่อยให้หมดแบบดับวูลกลางอากาศบ่อยๆ จะทำให้แบตเสื่อมสภาพและคายประจุออกไปเรื่อยๆ ส่งผลให้ความจุแบตน้อยลง และแน่นอนว่าเมื่อความจุแบตน้อยลง เราก็จะใช้งานได้น้อยลงเช่นกัน เอาเป็นว่าแบตฯขั้นต่ำเหลือสัก 30-40% ก็เริ่มชาร์จได้แล้วละครับ

3 อย่าใช้ที่ชาร์จปลอม (รวมถึง Powerbank ที่ไม่ได้มาตรฐาน)
มันไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ สรุปง่ายๆ เลยว่าที่ชาร์จปลอมจะจ่ายไฟได้ไม่นิ่ง กระแสไฟจะมากบ้างน้อยบ้าง ตามวัสดุและราคาของมัน ตรงนี้แหละที่เป็นอันตรายและเป็นผลเสียต่อแบตเตอรี่ใน สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตราคาสูงของเรา เพราะมันส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเอาง่ายๆ และยังไม่นับอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ที่ชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น แบตเตอรี่ระเบิด, ที่ชาร์จระเบิดหรือไหม้ที่มีให้เห็นหลายราย รวมไปถึงอาจจะทำให้ผู้ใช้เสียชีวิตก็ได้ หากใครจะใช้ที่ชาร์จปลอมลองคิดชั่งน้ำหนักดูนะครับ ระหว่างสมาร์ทโฟนแท็บเล็ตราคาหลักพันถึงหลักหมื่น จะยอมใช้ที่ชาร์จเก๊อันละ 99 บาทที่ไม่มีการการันตีเรื่องความปลอดภัยหรือครับ ทางที่ดีหาที่ชาร์จมียี่ห้อหรือตรงรุ่นมาใช้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่านะครับ
ข้อมูลจาก : Specphone
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> hitech.sanook.com

วุ้นลูกตาเสื่อม (Vitreous degeneration) อันตรายเงียบที่ทุกคนมองข้าม

เนื่องด้วยปัจจุบันได้มีร้านอินเตอร์เน็ตหรือร้านเกมส์เยอะและมีคนเล่นเกมส์และเน็ตเป็นเวลานานรวมถึงคนที่ทำงานที่ต้องอยู่หน้าคอมเป็นเวลานาน ควรพึงระวังไว้เกี่ยวกับโรคภัยที่จะตามมากับการอยู่หน้าคอมเป็นระยะเวลานานๆ

เตือนคนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ่อย ไม่ว่าจะใช้เล่นเกมส์ หรือใช้ว่าทำงานลองอ่านดูนะ แล้วก็ดูแลตัวเองด้วย ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรค "วุ้นในลูกตาเสื่อม" ถึง 14 ล้านคนแล้วครับจากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์?? นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้นะครับ คนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองก็เป็นจะมากขนาดไหน
ผมคิดว่า ในขณะที่คุณอ่านข้อความของผมนี้จากทางเนตบางคนก็เป็นแต่ไม่รู้ตัวครับ
อาการก็คือ : คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนยักใย่ ลอยไปลอยมา เหมือนคราบที่ติดกระจกน่ะครับ จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก้อคือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด (ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่ ?)
สาเหตุของโรคนี้คือ : การใช้สายตามากเกินไป (เล่นคอม)
แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้สายตามากๆ เช่น ช่างเจียรไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม
คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก? ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต,เล่นเกมส์,อ่านไดอารี่,อ่านบทความ,อ่านหนังสือ หรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอน กล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่
แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส (เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป และจอ LCD เราก้อต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกระดาษ การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน )
บวกกับลักษณะการอ่านหน้าหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อจะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์ หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษที่แขนกับคอ จะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน
แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้างหรือลูกกลิ้งบนเม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะลูกตาจะต้องลากลูกตา เลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้นบางที คุณต้องก้มเพื่อมองนิ้วว่ากดตำแหน่งบนแป้มพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จคุณจะปวดตามากๆ
อย่างเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดโปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีสว่าง (ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือดำ พื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างขาวจ้า นี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็ในคนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อยๆ มักจะมีการปรับแสงสว่างให้จ้าที่สุด
เพราะเวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ เป็นสีกำแพง เป็นสีปราสาท มันจะให้สีสวยสดดี แต่การทำแบบนี้มีข้อเสียคือ บางทีคุณหรือพี่น้องของคุณมาใช้คอมเครื่องนั้นต่อ จะทำให้บางครั้งลืมปรับความสว่างกลับมาให้มืดเหมือนเดิม จากที่แค่สว่างพอที่จะพิมพ์รายงาน กลายเป็นจ้องจอสว่างจ้าตลอดคืนไม่รู้ตัว สรุปก็คือ
1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก "ทำให้สายตาเสีย"
2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เองที่ทำให้สายตาเสีย ถ้าคุณอ่านหนังสือจากเวปมากๆ คุณจะติดนิสัยเสียอย่างนึงติดตัวไปคือ คุณจะติดนิสัย มองอะไรก็ตาม ไม่ว่าใกล้ไกล จะปรับโฟกัสมองเพ่งอยู่เสมอ ผลก็คือ กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก คุณจะเริ่มมองของที่อยู่ไกลๆ เบลอๆ คุณจะไม่สามารถปรับโฟกัส มองของใกล้ แล้วมองไกล ได้ทันทีเหมือนเคย (กล้ามเนื้อประสาทลูกตาจะล้า การปรับโฟกัสลูกตาเริ่มช้าลง)
3. การก้มๆ เงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา "ทำให้สายตาเสีย"
4. การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว "ทำให้สายตาเสีย" ข้อนี้คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวีในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน
5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12 นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา) แค่คุณนั่งอ่านหนังสือบนจอกว้างแบบนี้หนึ่งชั่วโมง ลูกตาคุณจะทำงานปรับโฟกัส กลับไปกลับมาเป็นพันๆ ครั้ง และถ้าเป็นปี หรือ หลายปี ติดต่อกัน สายตาคุณเสียแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะอ่านหนังสือจากจอคอมขนาดของจอคอมของคุณต้องไม่เกิน 15 นิ้ว
ถามกลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสารที่ใช้ในการอ่าน การเขียนทั่วไป จึงมีขนาด A4 ? (คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดี ในการกวาดสายตามอง ยังไงล่ะครับ)
และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่า ทำไมขนาดของจอคอมคุณที่จะเอามาอ่านหนังสือ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง ส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวัน ง่ายๆ นั้น จะเป็นสาเหตุ ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดรุนแรง เพราะกว่าจะรู้ตัวไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่าคุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!
ผมจึงอยากจะฝากประโยคเอาไว้ให้คนที่เล่นคอมทุกคนว่า คอมพิวเตอร์นั้น มีไว้สำหรับการค้นหาข้อมูล ไม่ได้มีไว้สำหรับการอ่านเป็นประจำ โดยเฉพาะการอ่าน อะไรก็ตามที่ยาวๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไดอารี่ หนังสือบนเนต คุณเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะกลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเหมือนเดิม ลืมเรื่องเล่นเนต เล่นคอมซะ เพื่อสุขภาพตา
ปกติที่เห็นใยแมงมุมดำๆ (เรียกว่า Floaters) เป็นผลจากการเสื่อมสลายของวุ้นในลูกตาจนเกิดเป็นตะกอนข้างใน ไม่ได้เป็นอันตรายครับ เมื่อเวลาผ่านไปตะกอนจะค่อยๆ ลอยออกจากลานสายตาไปอยู่บริเวณขอบๆ มากขึ้นจนเราจะไม่สังเกตเห็นมันไปเอง แต่คนที่เริ่มมีอาการเห็นแสงกระพริบ (Flashing) นั้นน่าสงสัยว่าอาจมีจอประสาทตาลอก (Retinal detachment) หรือวุ้นลูกตาลอก (Posterior vitreous detachment)
คนที่เพิ่งจะเริ่มสังเกตเห็นอาการนี้เป็นครั้งแรก แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์ครับ เพื่อตรวจดูว่าเริ่มมีจอประสาทตาลอก/วุ้นลูกตาลอกแล้วหรือยัง ถ้าแพทย์บอกว่ายังไม่มี เป็นแค่วุ้นลูกตาเสื่อมธรรมดา ก็สบายใจได้ แต่ไม่ใช่สบายจนลืมระวังตัวนะครับ ต้องคอยสังเกตตัวเองด้วยว่าถ้าเห็น Flashing กับ Floater ปริมาณมากกว่าเดิมแบบเฉียบพลัน ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้งครับ
ในคนปกติจะมีการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาอย่างช้าๆ อยู่ตลอดเวลาครับ แต่จะมีอาการเร็วหรือช้าก็ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคนอีก
คนที่มีสายตาสั้นมากๆ
เคยมีประวัติกระทบกระเทือนลูกตาอย่างรุนแรง
เคยมีการอักเสบหรือติดเชื้อภายในลูกตา
เคยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก
คนที่มีวุ้นลูกตาลอกหรือจอประสาทตาลอกมาแล้วข้างหนึ่ง
คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรควุ้นลูกตาเสื่อมหรือจอประสาทตาลอก
คนเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาได้เร็วกว่าคนทั่วไป
การป้องกัน
จากที่ได้อ่านที่โพสไว้ การใช้สายตาให้น้อยลงก็อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ป้องกันการเกิดได้นะ แต่ว่าในบทความของต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่ได้กล่าวถึงส่วนนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การรู้จักอาการของโรค และระวังตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเริ่มสังเกตเห็น Flashing หรือ Floaters ก็ควรพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอกเกิดขึ้น เป็นการป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปถึงจุดที่อันตรายนั่นเอง
การเห็น Floater ถือเป็นความผิดปกติ นะครับ แต่การที่เพิ่งมองเห็นเป็นครั้งแรก ปริมาณไม่มากนัก และได้พบจักษุแพทย์เพื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีการเกิดจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาลอก เป็นเพียงแค่วุ้นลูกตาเสื่อม นี่คือไม่อันตรายครับ
แต่ถ้าเห็นFloater หรือ Flashing ปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม อันนี้ต้องเริ่มสงสัยครับว่าโรคได้ดำเนินต่อไปถึงขั้นที่มีการลอกแล้วหรือเปล่า ถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่ใส่ใจถึงปริมาณที่เพิ่มขึ้นอยู่ อาจเป็นอันตรายได้ ซึ่งต้องรีบพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจครับ
การป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์
จากการที่เราๆ ท่านๆ ต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์เวลานานๆ แน่นอนย่อมมีผลเสียกับสุขภาพ ซึ่งมักจะมีอาการปวดตาและเมื่อยล้าของนัยน์ตาก็คงจะเคยเกิดกับผู้ที่ทำงานหรือใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งจักษุแพทย์ได้พบว่ามีหลายๆ สาเหตุที่ทำให้นัยน์ตาต้องเสี่ยงภัยจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นผลทำให้เกิดอาการปวดตา ฉะนั้นจึงขอแนะนำการป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์ ดังนี้
1. นั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว
2. จอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศา
3. จัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของสายตาในระยะที่ต่างกันมาก
4. จัดแสง และแสงสะท้อนจากจอให้ลดลงในระดับที่ตาเรารู้สึกสบาย
5. อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ
6. พักสายตา พักอิริยาบถทุกๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย
7. กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว
8. จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ
9. ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้น
การทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียหายให้กับดวงตาของเรา ฉะนั้นนัยน์ตาของคนเรานับว่ามีค่ายิ่งควรแก่การทนุถนอมไว้ โดยการหลีกเลี่ยงต้นเหตุ และป้องกันปัญหาสุขภาพไว้ ในระหว่างทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อช่วยให้ดวงตาอยู่กับเราตราบนานเท่านานตลอดไป

Monday 9 June 2014

ขึ้นเสียงพ่อแม่


ทำไมการเเกว่งเเขน การว่ายน้ำจึงสำคัญนัก

ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมารณรงค์
ให้ออกกำลังกายด้วยการเเกว่งเเขนโดยอ้างว่าลด
พุงได้อีกด้วย หลายคนเเปลกใจว่าเกี่ยวกันตรงไหน ?

เเกว่งเเขน (เเบบตำราเเพทย์ เเผนจีนที่ใช้กันมานับพันปี)
บางคนถึงกับหัวเราะเยาะว่า เว่อร์เกิ้นนนนน
อย่าเพิ่งดูถูกคะ
ใต้หัวไหล่ที่เรียกว่ารักเเร้นั้น คือชุมทางของต่อม
น้ำเหลือง เบ้อเริ่มบริเวณขาหนีบ นั่นก็ชุมทางของต่อม
น้ำเหลืองขนาดใหญ่
การขยับหัวไหล่เเละรักเเร้
การเเกว่งเเขนก็ดี
การว่ายน้ำที่ขยับทั้งหัวไหล่เเละขาหนีบก็ดี
ล้วนเเล้วเเต่เป็นการออกกำลังให้ต่อมน้ำเหลืองขยับ
เพิ่มการไหลเวียนน้ำเหลือ จึงไม่ใช่ของเล่นธรรมดาๆ
คำว่าระบบน้ำเหลือง นั้นหมายรวมถึง ม้าม ต่อมทอนซิล
ต่อมไธมัส ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ น้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง
นับเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาด
ชำระล้างของร่างกาย อันจำเป็นต่อ การรักษาสุขภาพ
ให้เเข็งเเรง เยียวยาความเจ็บป่วย
เพราะระบบน้ำเหลือง มีหน้าที่ขนถ่ายของเสีย
พิษที่สะสมในร่างกาย เศษของเซลล์ที่ตายเเล้ว
ออกไปกำจัดยังอวัยวะที่รับผิดชอบเเละขับออก
ไปจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาว เเอนตี้บอดี้
ของระบบภูมิคุ้มกัน ตลอดระยะทางของท่อน้ำเหลือง
จะมีต่อมน้ำเหลือง อยู่เป็นระยะๆ เพื่อช่วย กรองสาร
เเปลกปลอม เชื้อโรค ที่มีอันตราย
ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานควบคู่ไปกับระบบน้ำเหลือง
โดยตับมีหน้าที่สร้างน้ำเหลืองเป็นส่วนมาก เเละตับก็
อาศัยน้ำเหลืองนี่เองขนส่งสารอาหารที่ย่อยเเล้วจาก
ตับเเละลำไส้เล็กไปส่งต่อให้กับเซลล์เเละอวัยวะต่างๆ
ม้ามเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ ที่สุดของระบบน้ำเหลือง
มีหน้าที่กรอง เเละกำจัดเซลล์เม็ดเลือดเเดงที่หมดอายุ
เเละเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน
ของร่างกาย
ใครก็ตามที่ผ่าตัดเอาม้าม ต่อมทอนซิล
ต่อมไธมัสออกไป จะติดเชื้อได้ง่ายขาดภูมิต้านทาน
หากการไหลเวียน ของน้ำเหลืองติดขัด
จะทำให้ ต่อมน้ำเหลืองบวม อักเสบ
บริเวณที่น้ำเหลืองไหลเวียน เเละสังเกตได้ชัดเจนได้เเก่
ลำคอ
หลังใบหู
ท้ายทอย
หน้าอก
รักเเร้ใต้หัวไหล่
ท้องเเขน
หน้าท้องกึ่งกลางระหว่างหน้าอกกับสะดือ
บริเวณขาหนีบ
เนื่องจากน้ำเหลืองไม่มีปั้ม เหมือนระบบเลือด
ที่มีหัวใจเป็นปั้ม ดังนั้นการกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหล
เวียนดีขึ้นจึงต้องพึ่งพิงการออกกำลังกาย
เเละการหายใจให้ลึกๆเป็นหลัก เพื่อเขย่ากระตุ้นการ
ไหลเวียนน้ำเหลืองด้วยการขยับกล้ามเนื้อ เเละกระบังลม
การเต้นกระโดดบน trampoline ดูจะเป็นวิธีการ
ที่กระตุ้นน้ำเหลืองได้ทั่วร่างกาย หากเต้นไม่ได้ก็
อาจใช้วิธี กัวช่า (Gua Sha) การนวดด้วยน้ำมัน
การ นวดเเผนไทย
ใครก็ตามที่มักมีอาการ ผิวซีด ซูบซีด หลงๆลืมๆ
ติดเชื้อบ่อยๆ เป็นหวัดเจ็บคอเสมอๆ เริ่มมีเซลลูไลท์เพิ่ม
มากขึ้น ให้สงสัยระบบน้ำเหลืองติดขัด ไหลเวียนไม่ดี
ทั้งนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยากนักเพราะของเสีย ขยะมีพิษ
ตกค้างสะสมนั่นเอง
อย่าละเลยอาการน้ำเหลืองติดขัด โดยไม่ได้รักษา
เพราะ นานวันเข้าพิษร้ายอาจทำให้ล้มหมอนนอนเสื่อ
ด้วยมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง
by Dr. Kimberly Kaye Castaneda

พ่อแม่ของเรา


สารพัดวิธีไล่ยุง กำจัดมด ไล่หนู กำจัดแมลงสาบ ไล่ตะขาบ ไล่งู ด้วยวิธีธรรมชาติ

วิธีไล่งู
ถ้าท่านใดงูเข้าบ้านหรืองูมาบริเวณบ้านบ่อยๆ
มีวิธีแก้คือซื้อกำมะถันก้อนสีเหลืองๆไปโยนใส่ตาม ต้นไม้พุ่มไม้หรือรอบๆบ้าน ซื้อตามร้านขายยาแผนโบราณก็ได้ พอกำมะถันโดนน้ำที่รดต้นไม้จะมีฤทธิ์เป็นกรดระเหยออกมา งูจะอยู่ไม่ได้หนีไปเอง

เหตุที่งูไม่เลื้อยผ่านต้นมะกรูดก็เพราะมะกรูดมีความเปรี้ยว คล้ายกรด งูเลยหลีก หมั่นใส่กำมะถันเดือนละครั้ง กระจายทั่วๆบริเวณบ้าน
———————————————————————–
วิธีไล่ยุง
แบบง่าย ๆ คือ หา การบูร มาห่อด้วยผ้าแล้วมัดไว้กับหลอดไฟฟ้าที่อยู่ภายใน บ้าน ความร้อนของไฟฟ้าจะทำให้การบูร ระเหย ออกไป และกลิ่นของการบูรจะช่วย ป้องกันยุง ไม่ให้มารบกวน
———————————————————————–
วิธีกำจัดมด
- หาเศษผ้าที่ไม่ใช้แล้วมาตัดเป็นชิ้น ๆ ความยาวพอประมาณ ชุบกับน้ำมันเครื่องพอหมาดหรือจาระบี แล้วนำมาพันรอบขาตู้หรือโต๊ะ หรือจะใช้ปูนขาวใส่ภาชนะรองที่ขาตู้ก็ได้ และหากพบมดไต่ขึ้นมาตามรอยแตกร้าวของคอนกรีต ให้ใช้น้ำมันก๊าดเทลงไปในร่อง มดก็จะไม่โผล่หน้าขึ้นมาให้เรารำคาญใจอีกนาน
- ใช้แป้งฝุ่นสำหรับทาป้องกันเห็บหมัดของสุนัขหรือแมวมาโรยตามพื้นหรือบริเวณที่มดขึ้น เมื่อมดเดินผ่านก็จะเกิดการระคายเคืองและตายในเวลาอันรวดเร็ว หรืออาจฝานมะนาวเป็นแผ่นบางๆ มาไปวางในบริเวณที่มดขึ้นก็ได้
- หากพบว่ามีมดขึ้นอยู่ในขวดน้ำตาลหรือขนมปังที่ใส่อยู่ในกระป๋อง ให้ เราปิดฝาขวดหรือกระป๋องนั้นให้สนิท จากนั้นให้ออกแรงเขย่าเพียงเล็กน้อย แล้วเปิดฝาทิ้งไว้หรือนำไปผึ่งแดดสักครู่ มดตัวน้อยตัวนิดก็จะพากันหนีออกมาเอง
- ในกรณีที่พบรังมด ให้ใช้น้ำที่แช่หน่อไม้สดหรือหน่อไม้ดองเปรี้ยวราดไป ที่รัง มดจะอพยพไปอยู่ที่อื่นทันที แต่ถ้าต้องการกำจัดให้สิ้นซาก ให้ใช้การบูรและยาสูบอย่างละ 1 ส่วน นำไปแช่น้ำตั้งไฟให้เดือด จากนั้นเอาไปราดที่รัง มดก็จะตายและไม่กล้ามาทำรังอีกแน่ๆ
———————————————————————–
วิธีกำจัดแมลงสาบ
•วิธีการกำจัดแมงสาบแบบบ้าน ๆ (เน้นประหยัดและง่าย) แบบที่ 1
•เอาขวดเหล้ากลม มาวาง ทาน้ำมันพืชบางๆบริเวณปากขวด
•แล้วเอาเศษอาหารที่มีกลิ่นหอมๆ ใส่ไว้ก้นขวด (จากการทดลองน้ำตาลปิ๊บดีสุด)
•วางขวดเอียงประมาณ 70 องศา ให้ปากขวดแตะผนัง ตามซอกมืดๆในบ้าน
•ตื่นเช้ามาคุณจะได้แมลงสาปอยู่ในขวด (วันแรกๆจะได้เยอะมาก)
•ทำซ้ำเรื่อยๆ มันก็จะหมดไปเอง
วิธีการกำจัดแมงสาบแบบบ้าน ๆ (เน้นประหยัดและง่าย) แบบที่ 2
ส่วนประกอบ
1. ขวด เฮลบลูบอยที่หมดแล้ว 1 – 2 ขวด
2. น้ำมันหมู
วิธีทำ
1.เทน้ำมันหมูลงในขวด เฮลบลูบอย แล้วก็เคล้ากะให้น้ำมันหมูเกาะทั่วขวด
2.เอาน้ำมันหมูป้ายขอบในคอขวด กะให้กำลังลื่นพองาม
3.เอาไปตั้งไว้กลางห้องครัว หรือ แหล่งชุมนุม แมงสาบ (เฉพาะจุดที่พบบ่อยๆ)
4.ทิ้งเอาไว้ ประมาณ 8 ชม. แนะนำ >>ตั้ง<< ไว้ก่อนนอน
5.ตื่นมาตอนเช้าอย่าตกใจ แมงสาบจะยัวะเยียะ ไปทั้งขวด แต่ออกมาไม่ได้ เด็กและสตรีที่กลัวแมงสาบ ไม่ควรทำ เพราะอาจจะตกใจตายได้
6.เอาฝาเฮลบลูบอยปิดไว้ แล้วฝากให้รถขยะพาแมงสาบไปเที่ยว
วิธีกำจัดแมลงสาบ แบบอื่นๆ
# แมลงสาบมักชอบอยู่ในมุมอับ ผลิตลูกหลานออกมาอย่างมากมาย วิธีกำจัดง่าย ๆ ก็คือ เอาน้ำตาลเคี่ยวกับน้ำให้มีกลิ่นหอมแล้วนำไปใส่ในกะละมังหรือภาชนะที่มีความ ลื่น เพราะเมื่อแมลงสาบได้กลิ่น มันจะลงไปกินแต่ไม่สามารถไต่ขึ้นมาได้ วิธีนี้ก็จะช่วยลดพลเมืองแมลงสาบได้มาก และถ้ากันมดและแมลงสาบเข้าไปในตู้เสื้อผ้า หรือ ตู้หนังสือ โดยใช้ก้านพลูและพริกไทยเม็ดบรรจุใส่ถุงผ้าเล็ก ๆ แล้วนำไปไว้ตามซอกของตู้เสื้อผ้า หรือ ตู้หนังสือ
# นำขวดแก้วที่มีปากค่อนข้างกว้างใส่น้ำแกงจืดหรือน้ำต้มยำที่เหลือจากการรับ ประทานอาหาร (ใส่ประมาณครึ่งขวด) แล้วนำไปวางไว้บริเวณซอกหรือมุมห้องภายในบ้าน โดยวางให้ชิดติดกับผนังเพื่อล่อให้แมลงสาบที่ไต่ตามฝาผนังลงมากินน้ำแกงใน ขวด ทำให้ไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้
# ใช้เหยื่อล่อแมลงสาบสำเร็จรูป ซึ่งบรรจุอยู่ในตลับที่มีช่องว่างเพื่อให้แมลงสาบมุดหัวเข้าไปกินเหยื่อ แล้วออกมาตายภายนอก (ไม่ตายค้างอยู่ด้านในตลับ) โดยนำไปวางไว้ในบริเวณที่มีแมลงสาบชอบเดินผ่าน อาทิ ตามซอกมุมอับต่างๆ หรือวางไว้ใกล้ท่อระบายน้ำทิ้ง เพื่อดักแมลงสาบที่ออกมาหากินยามค่ำคืน
# ใช้บ้านแมลงสาบ ซึ่งเป็นกาวดักแมลงสาบที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง มีประสิทธิภาพในการดักจับแมลงสาบได้ดี ใช้ง่ายเพียงแค่แกะกล่องกระดาษแล้วนำแผ่นเหยื่อไปวางไว้ตรงกลางแผ่นกาวและ พับเป็นรูปบ้าน นำไปวางไว้ตามห้องหรือซอกมุมที่มีแมลงสาบรบกวน เมื่อมีแมลงสาบมาติดจนเต็ม ให้พับบ้านแมลงสาบเข้าทุกด้าน แล้วนำไปทิ้งลงถังขยะ บ้านแมลงสาบมีอายุการใช้งานนานประมาณ 3-4 สัปดาห์
# เอาปูนซีเมนต์ มาผสมกับอะไรหอมๆ น่ากิน เช่น นมผง โอวัลติน หรือถั่วบด ใส่ถาดวางใว้ในที่ที่แมลงสาบชอบเดินผ่าน แล้วก็เอาขันใส่น้ำวางไว้ข้างๆ เมื่อแมลงสาบได้ลิ้มรส อาหารผสมปูนซีเมนต์ และจิบน้ำเข้าไป ปูนซีเมนต์เมื่อผสมกับน้ำก็จะแข็งตัวในท้องของมัน
วิธีไล่งู
1. งูที่กลัวเชือกกล้วยจะมีก็เฉพาะงูเหลือมเท่านั้น ซึ่งได้มีการพิสูจน์มาแล้ว ส่วนงูพิษยังไม่มีรายงาน การเลี้ยงสุนัข หรือห่านเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุด
2. ใช้ สารเคมีที่มีกลิ่นฉุน เช่น น้ำมันก๊าด(หาง่าย และไม่อันตรายกับคน และสัตว์เลี้ยง) ให้ฉีดพ่นหรือราดรอบๆ บริเวณที่ไม่ต้องการให้มีงูอยู่ ( ถ้าฉีดพ่นหรือราดน้ำมันก๊าดที่รังงูก็จะหนีไปเหมือนกันครับ) และ ควรฉีดพ่นหรือราดน้ำมันก๊าดในช่วงที่ไม่มีเด็กๆ อยู่ เพราะงูจะออกมาจากที่หล่บซ่อน วิธีนี้เคยใช้จัดการกับงูเห่ามาแล้วใช้ได้ผลครับ ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะครับไม่ต้องฆ่าเขาด้วยแค่ไล่ไปเท่านั้น
3. ใช้ผงกำมะถัน(สีเหลืองๆ) มาผสมน้ำแล้วราดบริเวณรอบบ้าน แต่วิธีนี้ต้องทำบ่อยหน่อย อย่างน้อย เดือนละครั้ง เพราะกำมะถันเจือจางแล้วงูก็เข้าอีก
วิธีไล่ตะขาบ
- เลี้ยงไก่ในบริเวณบ้าน ( ถ้าสะดวก)
- ปลูกต้นเสลดพังพอนตัวเมีย รอบๆ บริเวณบ้าน
- ใช้ “น้ำส้มควันไม้” เนื่องจากน้ำส้มควันไม้เข้มข้น มีส่วนผสมของน้ำมันทาร์ และยางเรซินอยู่มาก จะส่งกลิ่นเหม็นคล้ายควันไฟรบกวนสัตว์ และแมลงที่มีพิษต่างๆ รู้สึกจะมีขายตามร้านขายเคมีเกษตร
วิธีไล่หนู
แบบง่ายๆ และประหยัดเงินคือ นำ ไม้ยี่โถ ไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปบดเป็นผง เสร็จแล้วนำไปโรยตามซอกที่หนูชอบอยู่ เพียงเท่านี้หนูก็พากันขนย้ายครอบครัวหนีออกไปจากบ้านของคุณไปเลย

อาหาร 3 G



ด่วน! อาหารสุขภาพ 3 ชนิดที่แพทย์สหรัฐฯ ต่างยอมรับว่าเป็นอาหารที่ดีต่อตัวคุณ มีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระและชะลอวัยได้ ซึ่งอาหารเหล่านี้ได้แก่
Garlic - กระเทียมเป็นอาหารสารพัดประโยชน์ มีไฟโตนิวเทรียนที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง อัลไซเมอร์ ลดริ้วรอย และช่วยให้สุขภาพผิวแข็งแรง

Green Tea – เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับผิว มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า ‘คาเทชิน’ ทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงที่มากกว่าวิตามินซี 100 เท่า และมากกว่าวิตามินอี 25 เท่า ช่วยลดภาวะแก่ก่อนวัยและการมีริ้วรอยเหี่ยวย่นได้เป็นอย่างดีเมื่อจิบชาเขียว (แบบออริจินัลเพียวๆ 100%) ไม่ต่ำกว่าวันละ 3 ถ้วย
Green Apple – ให้คุณได้มากกว่าการเป็นแค่อาหารลดน้ำหนักและต้านหวัด มีวิตามินซีแล้วยังมีวิตามินเอ อี เส้นใยอาหารสูง น้ำตาลต่ำ ล้วนแล้วแต่ดีต่อหัวใจและระบบลำไส้ และแอปเปิ้ลเขียวยังมีคอลลาเจนและอีลาสตินช่วยให้ผิวพรรณแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นอีกต่างหาก
เอาล่ะ หนุ่มๆ สาวๆ คนไหนมีพฤติกรรมนั่งแช่อยู่หน้าจอคอมฯ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของความเหี่ยวบนใบหน้า ควรรีบหาอาหาร 3G ไว้ทานด้วยน๊า 

ไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อไปตรวจสุขภาพประจำปีแล้วพบว่ามีไขมันพอกตับหรือไขมันเกาะตับ ทำให้เกิดความวิตกกังวลกับผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีรูปร่างอ้วน เป็นเบาหวานและมีไขมันในเลือดสูง

ในคนปกติ ตับจะมีบทบาทสูงมากในการรักษาชีวิตให้เป็นปกติ เพราะจะทำงานเสมือนโรงงานบำบัดน้ำเสีย โรงงานกำจัดขยะและโรงงานแปรรูปสารอาหาร โดยอาหารที่ถูกย่อยและดูดซึมจากทางเดินอาหารจะต้องผ่านตับเพื่อปรับสภาพให้เหมาะสมก่อนนำไปเลี้ยงร่างกาย
ของเสียและสารพิษบางอย่างที่อยู่ในเลือดเมื่อไหลเวียนผ่านตับก็จะถูกขจัดออกไป สารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะน้ำตาลจะถูกนำไปเปลี่ยนเป็นแป้ง (ไกลโคเจน) สะสมไว้ที่ตับ เพื่อเป็นสารอาหารสำรองไว้ใช้ขณะที่ร่างกายไม่ได้กินอาหาร ซึ่งจะมีเพียงพอที่จะใช้เป็นพลังงานได้นาน ๖-๘ ชั่วโมง แต่ถ้าต้องอดอาหารนานกว่านี้ ร่างกายจะเคลื่อนย้ายไขมันมาจากเนื้อเยื่อไขมันมายังตับ เพื่อแปรรูปเป็นสารพลังงานต่อไป
ในคนที่ดื่มสุราเป็นประจำ ผู้ที่ขาดอาหารหรืออดอาหาร จะมีการเคลื่อนย้ายไขมันออกจากเนื้อเยื่อไขมันมากขึ้น ขณะเดียวกันตับก็ไม่สามารถแปรรูปไขมันที่ถูกนำเข้ามาเป็นจำนวนมากได้ทัน จึงเกิดการสะสมขึ้นในตับ เกิดภาวะไขมันพอกตับได้
ยาบางอย่าง เช่น สารสเตียรอยด์และยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ก็ทำให้เกิดไขมันพอกตับได้ การมีไขมันพอกตับอาจทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็ง และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งตับ แต่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะส่วนใหญ่ของผู้ที่มีไขมันพอกตับ ไม่มีการอักเสบเรื้อรังของตับ
สรุปภาวะเสี่ยงต่อการเกิดไขมันพอกตับ ได้แก่
• การดื่มสุรา
• กลุ่มคนที่อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง
• ผู้ที่เป็นตับอักเสบจากไวรัสบี ซี หรือจากภูมิแพ้
• ได้ยาบางอย่าง
• การขาดอาหาร
การรักษา : ในปัจจุบันยังไม่มียาที่ได้รับการพิสูจน์แน่ชัดว่าจะรักษาภาวะไขมันพอกตับ ดังนั้นการรักษาจึงมุ่งที่การปฏิบัติตัว คือ
• การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป
• ออกกำลังกาย
• หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา
• ควบคุมเบาหวานและภาวะไขมันในเลือดสูง ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงปกติให้มากที่สุด
ส่วนการใช้ยาลดไขมันกลุ่มหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เรียกว่ากลุ่มสแตติน ซึ่งจะออกฤทธิ์ขัดขวางการสร้างไขมันคอเลสเตอรอล ยากลุ่มนี้มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์เชิงขู่ให้คนเรารู้สึกกลัวการมีไขมันในเลือดสูง(ซึ่งบางครั้งสูงแค่เพียงเล็กน้อยก็กังวลจนเกินเหตุ )
ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะยืนยันว่ายากลุ่มนี้จะช่วยลดไขมันที่พอกตับ แต่ยากลุ่มนี้จะช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอล ขณะเดียวกันฤทธิ์ข้างเคียงก็มี เช่น ทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอาจเป็นพิษต่อตับ ไต สมอง และเส้นประสาท ซึ่งแทบจะไม่มีใครกล่าวถึง จึงทำให้อดคิดไม่ได้ว่า การใช้ยาทุกวันนี้อยู่บนพื้นฐานทางวิชาการหรือการตลาดกันแน่
แม้แต่โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ๒๐๐๙ หรือ H1N1 ซึ่งเคยประโคมข่าวความน่ากลัวกันใหญ่โต ปัจจุบันในประเทศไทยเองเชื่อว่าคนที่อยู่ในชุมชนหลายคนคงได้รับเชื้อกันไปมากมายเพียงแต่ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทาน ทำให้สบายดีหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่จากผลของความกลัวที่เกิดขึ้นก็สามารถทำให้บริษัทยาต่างๆ สามารถทำกำไรจากการขายยาและวัคซีนได้เป็นกอบเป็นกำ อย่างนี้ต้องเรียกเป็น “นโยบายการตลาดแบบขู่ให้กลัว” เพื่อกระตุ้นยอดขาย
ยาก็คือสารเคมี มีทั้งข้อดีข้อเสีย การให้ข้อมูลผู้ใช้ยาทั้ง ๒ ด้าน และรณรงค์ให้ใช้ยาเท่าที่จำเป็นจริงๆ โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกๆ ด้านบนพื้นฐานของวิชาการและคุณธรรมเป็นสิ่งที่ควรต้องตระหนักมากกว่าการมุ่งใช้การตลาดนำ รวมถึงทั้งผู้ป่วยและแพทย์เองก็ต้องระวังการเป็นเหยื่อของการตลาดทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม

Monday 2 June 2014

มหาวิทยาลัยไม่ใช่คำตอบ !

มหาวิทยาลัยไม่ใช่คำตอบ ! 

ในยุโรปคนที่เรียนหมอ เรียนวิศวะ เรียนทนายความ ส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นกลางที่ห่วงใยเรื่องทำมาหากิน เพราะว่าเป็นอาชีพที่ได้เงินเยอะ 

ทีนี้ชนชั้น สูงเขาเรียนอะไร อย่างเจ้าชายวิลเลี่ยมก็เรียนประวัติศาสตร์ศิลปะ ก็คือคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องการทำมาหากินก็จะไปเรียนวรรณคดี ศิลปะ

ในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นเช่นนั้น คือชนชั้นสูงของญี่ปุ่นชอบเรียนรู้วิธีการที่จะอยู่กับเวลาว่างเพื่อให้เกิด ความสุข เช่น การเรียนชงชา เรียนจัดดอกไม้ เรียนเขียนกลอนเขียนกวี เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นวิชาของคนที่ไม่ต้องเดือนร้อนเรื่องการทำมาหากิน

แต่สำหรับคนไทยนั้นกลับกัน เพราะบางทีสอบเข้าอะไรไม่ได้แต่ดันไปติดวรรณคดี ก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองนี้อยากเรียนวรรณคดีหรือเปล่า ไม่ได้ตั้งคำถามว่าจบวรรณคดีแล้วจะไปทำงานอะไร

ในสังคมไทยเราจะรู้สึกว่าคนเรียนหมอเป็นคนที่มีอันจะกิน ไม่ใช่เรื่องของชนชั้นกลาง แต่เป็นอาชีพของชนชั้นสูงด้วยซ้ำไป

แต่สำหรับคนญี่ปุ่น ไม่จำเป็นเลยที่ทุกคนจะต้องเข้ามหาวิทยาลัย

เด็กนักเรียนไทยเมื่อจบ ม.3 จะขึ้นชั้น ม.ปลายก็จะมีวิธีคิดเรื่องของเกรดเฉลี่ย คือโรงเรียนก็จะมีการคัดเด็กเข้า ม.4 โดยคัดจากเกรดเฉลี่ยว่าถึงเกณฑ์หรือเปล่า แล้วเด็กที่เกรดไม่ถึงก็จะต้องไปเรียนสายอาชีวะ สายอาชีพ

จึงเท่ากับว่า เป็นการแบ่งเด็กออกเป็น 2 เกรด เด็กที่เรียนสายอาชีวะคือเด็กที่เรียนไม่เก่ง เป็นเด็กที่มีทักษะน้อยกว่าเด็กที่เรียนสายสามัญ

แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า เพราะเหตุนี้หรือเปล่าเป็นสาเหตุที่ทำให้การเรียนระดับอาชีวะ หรือเรียนสายอาชีพของไทยมันดูไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรีเท่ากับการเรียนสายสามัญเพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีอะไรมาประกันได้ว่าเด็กสายสามัญทุกคนจะสอบเข้า มหาวิทยาลัยได้ หรือถ้าคุณสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับต้น ๆ ไม่ได้คุณก็จะมาเข้ามหาวิทยาลัยรอง ๆ ลงมา และก็ไม่ได้ประกันด้วยว่าคุณจะได้เข้าเรียนในคณะที่คุณชอบจริง ๆหรือเปล่า คุณจะได้เรียนในสิ่งที่คุณจะเอาไปประกอบอาชีพจริง ๆ หรืออาจเป็นการเรียนเพื่อให้ได้แค่...ใบปริญญา

มโนทัศน์อย่างหนึ่งของคนไทยที่ปลูกฝังมากันตั้งแต่เด็ก ๆ ในเรื่องการเรียนการศึกษาคือ เรียนเพื่อให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน เพื่อที่จะเติบใหญ่ เพื่อที่จะได้ประกอบอาชีพ เรียนให้ถึงมหาวิทยาลัยเพื่อมาเป็นเจ้าคนนายคน

เพราะฉะนั้น คนไทยไม่ได้ตั้งความหวังไว้กับการศึกษาของลูกว่า เรียนเพื่อไปเป็นช่างประปาเก่ง ๆ เรียนเพื่อไปเป็นช่างไฟฟ้าเก่ง ๆ เรียนเพื่อไปเป็นช่างเทคนิคเก่ง ๆ เรียนเพื่อไปทำสีรถให้สวย ๆ ได้ยังไง

ทำให้ดินแดนที่ชื่อว่าประเทศไทยต้องตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศนี้จึงหาช่างเก่ง ๆได้ยากเหลือเกิน
หาคนทาสีบ้านได้ยาก
หาช่างประปาก็ยาก
หาช่างไฟดีดีก็ยิ่งกว่าหาเข็มในมหาสมุทร

แล้วถ้ามีช่างไฟเก่ง ๆ ก็ต้องง้องอนเขามากเลย ถ้าคุณเจอปัญหาท่อน้ำแตก รั่ว คด งอ หรือระเบิดในผนังบ้านคุณ คุณจะรู้เลยว่าทำไมประเทศนี้หาช่างที่มีทักษะแล้วดูดีมีความภาคภูมิใจใน อาชีพของตนได้ยากเหลือเกิน

เพราะคนไทยไม่ได้ปลูกฝังมโนทัศน์ที่ว่าให้ทุกคนพึงพอใจหรือภาคภูมิใจในอาชีพ ของตน และทัศนะคติของคนไทยยังไม่เห็นว่าทุกอาชีพมีเกียรติเท่ากันหมด ลัทธิคลั่งปริญญาของสังคมไทย ทำให้สังคมไทยลืมให้ความสำคัญกับการเรียนสายอาชีพ

ปัญหาของสังคมไทยคือเราสามารถผลิตนักเรียนที่จบมัธยมปลายได้ และก็สามารถที่จะผลักดันให้นักเรียนนั้นได้เข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ และชั้นรอง ชั้นย่อยออกไปได้ แต่เพื่อที่จะถามว่าเรียนอะไรนั้นยังพบว่ามีปัญหา

เพราะเด็กของเราส่วนใหญ่ “ไม่รู้” หรอกว่าอยากเรียนอะไร คิดแต่ว่าทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ได้เข้าไปอยู่ในมหาวิทยาลัย คณะอะไรก็ได้ บางคนไปเรียนบรรณารักษ์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รักการอ่าน ไม่ได้สนใจเลยว่าห้องสมุดที่น่าสนใจมันเป็นยังไง ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วบรรณารักษ์ไม่ใช่เป็นแค่ยายแก่เฝ้าหนังสือ บรรษรักษ์ก็เหมือน curator ของ museum คือคุณสามารถทำกิจกรรมอะไรในห้องสมุดได้หลากหลายมาก หรือบางคนเรียนภาษาไทยเป็นเพราะคณะรับคะแนนไม่สูง แต่พอจบออกมาแล้วหางานทำไม่ได้ แล้วก็เข้าสู่ระบบตลาดที่รับเงินเดือน 7,000 - 9,000 บาท

ถามว่าพอกินไหม...ไม่พอกิน !
ขณะเดียวกันถ้าคุณรู้ตั้งแต่แรกว่าคุณไม่เหมาะที่จะเรียนในระบบมหาวิทยาลัย

คุณไม่ต้องแคร์ใบปริญญาได้ไหม คุณไปเข้าโรงเรียนการสอนทำแพตเทิร์น ไปเรียนเย็บผ้า ไปเรียนทำผมอย่างนี้ไปเลย เรียนแล้วคุณก็อาจเป็นช่างทำผมที่เก่งมาก เป็นช่างนวดหน้าที่ดีมาก อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ แล้วเราจะทำอย่างไรให้สังคมไทยคิดอย่างนี้ ?

เราต้องให้ประเทศนี้ให้ความสำคัญกับการเปิดโรงเรียนสอนช่างประปา ช่างไฟฟ้า ช่างทำผม อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันทำให้เราเห็นโอกาสทางการศึกษา แล้วก็เกิดการพัฒนาตัวเอง คนก็จะขวนขวาย แล้วเมื่อทุกอาชีพได้รับเกียรติอย่างเท่าเทียมกัน คนก็จะบอกว่า ใบปริญญาไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือความภาคภูมิใจในหน้าที่การงานของตน เพราะฉะนั้น

ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่เจริญแล้ว เขาไม่บ้าเอาปริญญามาใส่กรอบติดฝาบ้านเหมือนคนไทย เพราะเขามีการนับถือกันและกันในการเป็นมนุษย์ร่วมสังคมเดียวกัน เขาให้เกียรติทุกอาชีพอย่างเท่าเทียม แล้วเงินเดือนแต่ละอาชีพไม่ได้แตกต่างกันมากด้วย อย่างกรรมกรก่อสร้างกับพนักงานบริษัทก็เงินเดือนพอ ๆ กัน เพราะถือว่าฝึกฝนมาอย่างหนักไม่แพ้กัน และคุณต้องหาความรู้เพื่อสอบเลื่อนระดับขึ้นไปอยู่เรื่อย ๆ เหล่านี้คือความแตกต่างระหว่างบ้านเรากับญี่ปุ่น เพราะฉะนั้น

เรื่องทัศนะคติทางการศึกษานี้จะต้องเปลี่ยนที่ค่านิยมของพ่อแม่ ด้วย เปลี่ยนค่านิยมของตัวเด็กเองด้วย ความสำเร็จของชีวิตไม่ใช่ใบปริญญาที่ติดอยู่กับฝาบ้าน ไม่ใช่งานฉลองรับปริญญา แต่คือ

การที่เราได้ประกอบอาชีพที่เรารัก อาชีพที่เรามีความถนัด

ถ้าเราเปลี่ยนค่านิยมของพ่อแม่ได้

เปลี่ยนจินตนาการของเด็กนักเรียนได้ว่า
มหาวิทยาลัยไม่ใช่คำตอบ
ใบปริญญาไม่ใช่ตัวตัดสินอนาคต
ศักดิ์ศรีอาชีพที่เท่าเทียมก็จะปรากฏให้เห็นเด่นชัดในสังคมไทย

แล้วจะรู้ซึ้งถึงแก่นแท้ว่า จริง ๆแล้ว "มหาวิทยาลัยไม่ใช่คำตอบ"

Cr.leotutor By Admin สิงห์ทอง..
สาระน่ารู้ เกี่ยวกับรัฐศาสตร์

เพิ่มเติมจากแม่สัน:

เจตนาของผู้เขียนบทความนี้ เข้าใจว่า ไม่อยากให้วิ่งตามกระแส ว่าต้องต้องได้ใบปริญญา จะได้เป็นเจ้าคนนายคน เพราะได้ใบปริญญาแล้ว มีอาชีพเตะฝุ่นก็ถมไป ผู้เขียนคงอยากให้เราได้ทำมาหาเลี้ยงชีพกับงานที่เหมาะกับเรามากที่สุดค่ะ
เพราะผู้เขียนได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า

“ทัศนะคติทางการศึกษา คือการที่เราได้ประกอบอาชีพที่เรารัก อาชีพที่เรามีความถนัด”

ค่านิยมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแม่สันเห็นว่าพ่อแม่ในไทยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นเหมือนกันคือ พอจบม.3 จะต้องอยากให้ลูกได้เรียนต่อสายสามัญมากกว่าสายอาชีพ ผลการศึกษาล่าสุด เด็กที่อยู่ชั้น ม.3 มีไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเรียนต่อสายอาชีพ เพราะค่านิยมที่คิดว่าเรียน ม.4 จะดีกว่าเรียนสายอาชีพ จะมีโอกาสที่ดีกว่าสายอาชีพ

ความจริง การเรียนต่อสายอาชีพ เมื่อเรียนจบและได้ทำงานแล้ว ถ้าอยากจะได้ใบปริญญา เพื่อต่อยอดในอาชีพ ก็สามารถกลับมาเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเมื่อต้องการได้ทุกเมื่อ อย่างเช่นสายอาชีวะ ที่เข้าไปเรียนต่อเป็นวิศวะกร พวกเขาเหล่านี้จะมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนดีกว่าเพื่อนที่ไม่เคยทำงานมาก่อนค่ะ

และค่านิยมที่เรียนต่อ ม.4 ถ้าคะแนนถึงพอที่จะเรียนสายวิทย์ได้ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็จะใส่ข้อมูลให้เด็กว่า ให้เลือกเรียนสายวิทย์ไว้ก่อน เรียนไม่ไหว่ค่อยย้าย เพราะมีทางเลือกที่จะเรียนต่อ ได้มากกว่าที่จะเรียนสายศิลป์

ทำไมล่ะคะ? ถ้าเด็กคนหนึ่ง เขารู้แน่นอนว่า เขาไม่ชอบวิศวะ ไม่ชอบหมอ ไม่ชอบวิทยาศาสตร์ เขาจะเป็นนักการตลาด เป็นนักธุรกิจ การธนาคาร หรือนักบัญชี ทำไมจะต้องไปเรียนสายวิทย์ให้เปลืองสมอง? เอาสมองส่วนที่เหลือ ไปหาความรู้ในสิ่งที่เขาสนใจและชอบทำไม่ดีกว่าหรือคะ

แม่สันอยากจะบอกว่า ขอให้เด็ก ๆ ที่กำลังจะเป็นอนาคตของชาติทุกคน “ค้นหาตัวเองให้เจอ”ค่ะ ว่าชอบอะไร อยากทำงานอะไร ถ้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ก็จะมีความสุขกับการทำงานค่ะ และอาชีพที่คิดว่าตัวเองชอบนั้น ให้หาโอกาสไปคุยกับคนที่ได้ทำงานอยู่ในอาชีพนั้นเลย ว่าเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เช็คกับคำตอบของตัวเองว่า ใช่หรือไม่? ตรงกับที่เราคิดไว้หรือที่เข้าใจหรือไม่ค่ะ

โดยส่วนตัวแล้ว แม่สันจะบอกลูกเลยว่า แม่ไม่มีเงิน ไม่มีสมบัติอะไรที่จะให้ แม่จะให้เฉพาะการศึกษา ลูกต้องการเรียนมากแค่ไหน เรียนไหวแค่ไหน แม่ก็จะส่งเสียให้ได้เรียน ถ้าอยากได้ อยากมีอะไร ก็ต้องรอให้เรียนจบ ทำงาน มีรายได้แล้ว ค่อยเก็บเงินซื้อเอง

ลูกแม่สันคนโต ที่คิดว่าตนเองอยากจะเรียนหมอ เขาก็ยังต้องใช้เวลาค้นหาตัวเองให้เจอ ว่าใช่สิ่งที่เขาชอบจริงหรือไม่ เขาใช้เวลาตัดสินใจตั้งแต่ตอนอายุ 15 ปี ว่าจะใช่สิ่งที่เขาชอบจริงหรือไม่ เพราะเขาจะต้องอยู่กับอาชีพนั้นไปตลอดชีวิตการทำงาน ซึ่งเขาก็ต้องเช็คความสนใจ ความต้องการ ความสามารถของตัวเอง และได้ให้เขามีโอกาสพูดคุยกับแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาลเมื่อตอนเรียนมัธยมปลาย เพื่อสอบถาม หรือถามสิ่งที่เขายังอยากรู้ จากผู้มีประสบการณ์ตรง เมื่อได้พูดคุยและเช็คความต้องการของตนเองจนแน่ใจแล้ว จึงเดินหน้าต่อ เพื่อไปตามทางเดินที่ตัวเองอยากไปค่ะ

ส่วนเพื่อนลูกชาย เป็นคนต่างชาติ เรียนเก่งเหมือนกัน ได้คะแนนสอบสูงเท่ากัน ซึ่งหมายความว่าจะสอบเข้าเรียนต่อหมอได้เช่นกัน แต่ชาวต่างชาตินั้น ถ้าเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบเป็นหมอจริงหรือไม่ เขาจะไม่เรียนต่อในมหาวิทยาลัยทันทีที่เรียนจบ เขาจะพักการเรียนไปก่อน 1 ปี ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า “gap year” เพื่อไปทำการค้นหาตัวเองให้เจอ ไปฝึกงานดู ว่าสิ่งที่คิดว่าตัวเองชอบนั้น มันใช่หรือไม่ หรือไปหาสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นให้เจอก่อน เพื่อนคนนี้ ไปฝึกงานอยู่ 1 ปี เข้าใจว่าไปช่วยงานในโรงพยาบาล อาจจะไปเป็นผู้ช่วยบุรุษพยาบาล อาจจะเข็นรถเข็น เข็นเตียง ฯลฯ จนคิดว่าตนเองชอบทำงานในโรงพยาบาล อยากเป็นหมอ จึงได้กลับเข้ามาเรียนหมอในปีถัดไป โดยไม่รู้สึกว่าเสียดายเวลาที่ช้าไป 1 ปีแม้แต่น้อย

เพื่อนอีกคน เป็นลูกครึ่ง หน้าตาหล่อเหลาเป็นพระเอกหนังได้เลย เวลาไปซื้อของแบกะดิน คนขายมักจะบอกราคาของเป็นภาษาอังกฤษ คิดว่าขายของให้ฝรั่ง เมื่อเพื่อนพูดตอบเป็นภาษาไทย คนขายเลยบอกราคาขายเป็นราคาคนไทย เพื่อนคนนี้ก็ใช้เวลาหาอาชีพที่จะทำในอนาคต 1 ปี (gab year) ที่กองถ่ายภาพยนต์ หลังจากหนังจึงกลับไปเรียนเกี่ยวกับภาพยนต์/การแสดง

แม่สันอยากจะฝากไว้เป็นข้อคิดสำหรับคุณพ่อคุณแม่ หรือเด็ก ๆ ที่กำลังอยู่ในวัยมัธยมปลาย หรือกำลังจะเป็นบัญฑิตด้วยนะคะ ว่ามหาลัยนั้นเป็นสถานที่ ๆ ทำให้เราได้เรียนรู้ในสาขาวิชาที่จะนำไปประกอบอาชีพในอนาคต อยากเป็นอะไร เอาให้รู้แน่ ๆ ว่า “ใช่” แล้วค่อยเรียนเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นเสียเวลาเรียนจนจบ 4 ปี ได้ใบปริญญาแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็น อยากจะทำ หรืออาจจะไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองถนัด ก็จะทำให้มีความยากลำบากในการประกอบอาชีพตามที่ได้เรียนมา หรือได้ทำงานก็จะไม่มีความสุขกับงานที่ทำค่ะ

ขอยกตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้ มีเด็กสาววัยใส หน้าตาน่ารัก อารมณ์ดี พ่ออยากให้ยายหนูเรียนวิทยาศาสตร์ เด็กก็เรียนไบโอเคมีตามใจพ่อ เรียนจนจบปริญญาตรี เพิ่งรับปริญญาไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ เมื่อถามเด็กว่าทำงานอยู่ที่ไหน เด็กตอบว่า ไม่ไปทำงานค่ะ ตอนนี้กลับไปเรียนปี 1 ใหม่ เรียนในสาขาวิชาที่ตัวเองชอบ ที่เขาอยากจะทำงานค่ะ เด็กให้เหตุผลว่าปริญญาใบแรกเรียนให้พ่อ แต่ใบใหม่นี้ เรียนให้ตัวเองค่ะ

น่าคิดนะคะ เด็กกตัญญูมาก ยอมเรียนเพื่อพ่อ เพื่อให้พ่อได้สมหวัง เพื่อความสุขของพ่อ แต่ยังไม่ละทิ้งความฝัน ความต้องการของตนเองค่ะ

ด้วยความปรารถนาดี
แม่สัน
081 889 7899
supersuntanee@hotmail.com

บทเรียน

บทเรียนจะมีค่า
ก็ต่อเมื่อเรานำมาใช้สอนใจ
อดีตที่ผ่านจะมีความหมาย
ก็ต่อเมื่อ..เรานำมาใช้สอนปัจจุบัน

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ


ภูเขาลูกเดิม

ผู้หญิงคนหนึ่งได้ระบายปัญหาของตนกับอาจารย์เซ็นว่า หลายปีก่อนสมัยเธอเป็นสาวแรกรุ่น เธอได้แต่งงานกับสามีที่อายุห่างกันประมาณ10ปี ในตอนนั้นสามีของเธอดูยิ่งใหญ่มากในสายตาของเธอ เธอชื่นชมและยกย่องสามีของเธอมาก แต่หลังจากอยู่กินกันมาหลายปี เขาก็เปลี่ยนไป ไม่เหลือความอลังการน่าเกรงขาม ไม่เหลือซึ่งความน่าสนใจเหมือนครั้งอดีตอีกแล้ว เธอถามอาจารย์เซ็นว่าเป็นเพราะเหตุใด? หรือการแต่งงานคือสุสานของความรักใช่หรือเปล่า?
เมื่อเธอเล่าจบ อาจารย์เซ็นจึงบอกกับเธอว่า “เธอจงตามอาตมามา”
อาจารย์เซ็นพาเธอมายืนอยู่หน้าภูเขาลูกหนึ่ง แล้วถามว่า “ภูเขาลูกนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“สูงใหญ่ ตระหง่านตาและสวยงามเป็นที่สุด” เธอบอก
“ตามอาตมาขึ้นเขาเถอะ!” อาจารย์เซ็นกล่าว
ตลอดทาง ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ มีแต่เดินกับเดิน เธอเริ่มเหนื่อยและอ่อนล้า อีกทั้งทางเดินที่ขรุขระ เธอจึงบ่นอะไรเยอะแยะออกมา
เมื่อถึงยอดเขา อาจารย์เซ็นบอกเธอว่า
“นี่คือภูเขาที่เธอเห็นเมื่อสักครู่นี้”
“ภูเขาลูกนี้ไม่สวยเลย ทางเดินก็มีแต่หิน ต้นไม่ก็ไม่สวย ดูๆแล้ว ภูเขาลูกโน้นสวยกว่าซะอีก!” เธอระบายความรู้สึกออกมา
อาจารย์เซ็นหัวเราะขึ้นมาและก็กล่าวว่า “ตอนที่เป็นแฟนกัน ก็เหมือนกับมองภูเขาจากที่ไกล ในสายตามีแต่ความชื่นชมเลื่อมใส เมื่อแต่งงานแล้ว ก็เหมือนกับการขึ้นเขา สิ่งที่เธอได้เห็นคือความปกติธรรมดาของกันและกัน เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขา สายตาของเธอก็เห็นแต่ภูเขาลูกอื่น ไม่เห็นภูเขาลุกเดิม ที่จริงแล้วภูเขาไม่ได้เปลี่ยน แต่เป็นเธอต่างหากที่เปลี่ยน เพราะใจเธอเปลี่ยน แววตาของเธอจึงเปลี่ยนไป เมื่อหมดซึ่งความชื่นชม ภูเขาก็ไม่ยิ่งใหญ่อีกต่อไป เธอปรักปรำพร่ำบ่นมากเท่าใด ความเสียหายก็มีมากเท่านั้น เพราะอะไรเธอจึงสามารถยืนอยู่บนยอดเขาลูกนี้และเห็นภูเขาลูกอื่น? ก็เพราะเธอเหยียบอยู่บนภูเขาลูกนี้ เธอควรสำนึกคุณ ไม่ใช่ปรักปรำ!

การปรากฏตัวของผู้ชนะ


• ลองคิดดูว่าถ้าคุณเปลี่ยน ‘นิสัยที่เสียที่สุด’ ได้
เส้นทางชีวิตจะหักเหสักปานใด
คุณจะรู้จัก ‘โบนัสของเกมกรรม’ อย่างแท้จริง
ก็เมื่อสามารถทำได้สำเร็จในข้อนี้
เพราะกฎข้อหนึ่งของเกมคือ


: เมื่อกำจัดอุปสรรคยากได้ คะแนนจะยิ่งมาก
ผลลัพธ์จะยิ่งรวดเร็วทันตา !
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• พฤติกรรมและนิสัยทั้งหมดมี ‘ราก’ มาจากความคิด
ฉะนั้นเมื่อปลงใจเลือกนิสัยเสียๆ เช่น ชอบด่าคน
ก็ขอให้ ‘เฝ้าสังเกตความคิด’
เวลาคิดอยากด่าคนขึ้นมา
: ให้รู้ว่านั่นไม่ดี ตั้งใจว่าไม่เอา แค่นั้นพอ
: อย่าไปกลัดกลุ้มหาทางขับไล่
: ขณะเดียวกันก็ไม่หลงตามกิเลสตัวเอง
• สติรู้ทันแบบ ‘ไม่ถอยและไม่สู้’ เพียงดูอยู่เฉยๆนั้นเอง
นานไปจะเป็นสติชนิดตั้งมั่นแข็งแรง ทำให้จิตฉลาด
และเห็นนิสัยเสียๆเหือดแห้งไปจากจิตเอง
ดุจ ‘พยับแดด’ ที่ไม่เคยมีอยู่จริง
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• เหมือนทุกเกมในโลก คุณไม่ได้มีเวลาเล่นมากนัก
คิดเสียว่าคุณเลือกนิสัยเสียที่สุด
ขึ้นมาเอาไว้ ‘แข่งกับความตาย’
ก่อนตายคุณอยากเปลี่ยนให้ได้ เพราะถ้าเปลี่ยนได้
ก็เท่ากับใช้ชีวิตมนุษย์นี้เป็น ‘เดิมพัน’ ในการหักเหเส้นทางทั้งหมด !
• สำหรับบางคน ต้องยอมรับว่า
การชะล้างความคิดเสียๆไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตาม
แม้ความคิดไม่ดีอาจวนเวียนอยู่ในหัวคุณไปอีกสิบปี
แต่ตลอดสิบปีนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์
เพียงเพราะการมี ‘ความคิดที่ห้ามไม่ได้’ นั้น
: แค่คุณไม่ยินดีกับมัน
: ไม่ใส่ใจมัน
: ไม่เหนื่อยฝืนต้านมัน
เดี๋ยวมันก็หายไปเอง !
เพราะในขอบเขตของเกมกรรม จะไม่มีอะไร
ตั้งอยู่ได้อย่างถาวรโดยปราศจาก ‘อาหารหล่อเลี้ยง’
และสำหรับความคิดไม่ดีทุกชนิดนั้น
อาหารก็คือ ความยินดี ความใส่ใจ
และกระทั่งการออกแรงต้านบ่อยๆนั่นเอง
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
• หากกำจัดนิสัยเสียได้สักข้อ คุณจะใจชื้น
และ ‘เพิ่มความเชื่อมั่น’ ในตนเองเพิ่มขึ้นอีก
ให้รุกคืบต่อไป ขอให้เลือกนิสัยเสียอื่นๆมาฟอกอีก
แล้วคุณจะพบความจริง
ว่าเมื่อนิสัยร้ายๆของคุณเปลี่ยนไปแต่ละอย่างนั้น
‘ชะตาร้ายๆ’ จะค่อยๆหายไปด้วยทีละอย่างสองอย่าง
หรือหลายอย่างพร้อมกันในคราวเดียว !
• อย่าหวังว่าคุณจะดีอย่างสมบูรณแบบในเวลาอันสั้น
แต่จงหวังว่าคุณจะดีขึ้น ‘ทีละข้อ’ แบบ ‘ไม่ต้องรอนาน’
แล้วคุณจะเห็นเองว่าเกิดอะไรขึ้นจริงได้บ้าง
• ผลพวงของความสำเร็จในการเปลี่ยนนิสัยนั้นมีมาก
แต่ที่น่าสนใจคงเป็นเรื่องของ ‘เสน่ห์’
หลังจากคุณเปลี่ยนนิสัยบางอย่างสำเร็จ
เสน่ห์จะเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด
เพราะคนเราชอบความเชื่อมั่น ความคมคาย
และการเปลี่ยนแปลงจากร้ายเป็นดีทันตาเห็น
พลังของผู้ชนะมี ‘แรงดึงดูดตาดึงดูดใจ’ เสมอ
คุณนิยมภาพ ‘การปรากฏตัวของผู้ชนะ’ ในเกมกีฬาอย่างไร
ก็จะนิยมภาพ ‘การปรากฏตัวของผู้ชนะ’ ในเกมเปลี่ยนนิสัยอย่างนั้น !
_______________
► จากหนังสือ "เกมกรรม"
http://on.fb.me/1h1mBRy

ขายดีจนเจ๊ง

ขายดีจนเจ๊ง (สาเหตุเกิดจากอะไรลองอ่านดูครับ)
คนค้าขายบางคน บางเจ้า ขายดีจนเจ๊ง...
อ่านไม่ผิดหรอกครับ ผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ ขายดี...จนกระทั่งธุรกิจเจ๊ง แล้วต้องปิดตัวลงแบบเจ้าตัวยังงงๆ กับชีวิตว่าเกิดอะไรขึ้น

เหตุการณ์เช่นนี้ มักเกิดขึ้นกับ SMEs ในบ้านเรา ที่เริ่มต้นเติบโตมาจากระบบเจ้าของคนเดียว มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เอาความเชี่ยวชาญนั้นมาทำธุรกิจ จนประสบความสำเร็จ เจริญก้าวหน้า มีลูกค้ามากมาย
แต่อยู่ๆ ก็เกิดอาการซวนเซ แล้วเจ๊งไปซะง่ายๆ มีเพื่อนรายหนึ่ง อยู่ในอาการที่ว่ามานี้ โชคดีที่มาถามก่อนเจ๊ง เพื่อนมาถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆ ที่ธุรกิจไปได้ดี ลูกค้ามากมาย ยอดขายแต่ละวัน...นับเงินเมื่อยมือ แต่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้ในธุรกิจ เหมือนเติมไม่เต็ม ตลอดหลายปีที่ทำธุรกิจมา
ผมเริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ ว่า "เป็นเจ้าของกิจการมีเงินเดือน เดือนละเท่าไหร่?"
เงียบ...แทนคำตอบ ก่อนที่จะถามกลับมาว่า ทำไมต้องมีเงินเดือน ในเมื่อเป็นเจ้าของอยู่แล้ว
ผมถามคำถามที่สอง "แล้วเจ้าของใช้เงิน เดือนละเท่าไหร่?"
ลังเลนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ไม่รู้ว่าเดือนละเท่าไหร่ เพราะจะใช้อะไรก็หยิบไปจากลิ้นชัก ไม่ได้จดไว้ว่าเท่าไหร่ อาศัยว่าถ้าเงินพอก็หยิบไปได้ ถ้าไม่พอ ก็รอให้เงินพอก่อน แล้วค่อยหยิบ
ผมถามคำถามที่สาม "เงินที่หยิบจากลิ้นชักไป เอาไปซื้ออะไรบ้าง"
คราวนี้สาธยายยาวเหยียด...ก็ซื้อทุกอย่าง กินข้าว ซื้อของเข้าบ้าน เลี้ยงสังสรรค์ ผ่อนรถ...ฯลฯ
ผมสรุป..."นั่นแหละสาเหตุ"
คนทำธุรกิจแบบโตมากับมือ ส่วนใหญ่เป็นแบบเพื่อนผมนี่แหละครับ ไม่เคยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง ไม่เคยจดว่าใช้เงินไปเท่าไหร่ และใช้ไปกับเรื่องอะไร ทั้งหลายทั้งปวงสรุปได้ 3 สาเหตุใหญ่ คือ
สาเหตุประการแรก ไม่แยกแยะเงินของธุรกิจออกจากเงินส่วนตัว การที่ไม่ตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองคือเจ้าของธุรกิจ และเป็นเจ้าของเงินทั้งหมดอยู่แล้ว จะใช้อย่างไรก็ได้ นั่นคือแนวคิดเริ่มต้นที่ผิด เพราะต้องมองให้ธุรกิจเป็นเหมือนบุคคลอีกคนหนึ่ง ที่เรารับจ้างทำงานให้อยู่
เวลาเราจ้างลูกจ้าง จ่ายเงินเดือนชัดเจน ใช้เกินกว่านั้นไม่ได้ แต่ตัวเราซึ่งรับจ้างธุรกิจที่เราก่อตั้งขึ้นมา กลับใช้เงินได้ไม่จำกัด ซึ่งส่งผลทำให้เงินที่เป็นค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนไม่คงที่ในแต่ละเดือน ขึ้นอยู่กับเราจะเมามันหยิบมาใช้มากน้อยแค่ไหน
ดังนั้น ต้องตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง แล้วจ่ายเงินเดือนเมื่อสิ้นเดือนเหมือนพนักงานคนอื่นๆ แล้วต้องใช้เงินแค่นั้น ห้ามเกิน ถ้าเกิน ก็ห้ามหยิบมาจากลิ้นชักอีก ต้องไปหายืมคนอื่นเอาเอง ห้ามยืมจากลิ้นชัก ถ้าจะยืมจากลิ้นชักจริงๆ ก็ต้องจด แล้วนำมาคืนอย่างเคร่งครัด
สาเหตุประการที่สอง ไม่ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เมื่อจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองมาแล้ว ควรจะทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ให้ตัวเองด้วย คร่าวๆ ก็ได้ เอาพอรู้ว่า แต่ละวันจ่ายอะไรไปเท่าไหร่ เหลือเงินใช้ได้อีกเท่าไหร่ ไม่ใช่ใช้สนุกมือไปเรื่อย เพราะเห็นว่าธุรกิจขายดี
ถ้าคิดว่าขายดี และเงินเดือนที่ตั้งให้ตัวเองไม่พอใช้ ขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองซะ จะขึ้นเท่าไหร่ไม่มีใครว่า แต่ควรเป็นตัวเลขที่มีเหตุผล และไม่ทำให้กระทบกับรายรับของธุรกิจ จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่กระทบ ต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของธุรกิจด้วย อันนี้ถ้าไม่ทำ...แย่เลยนะ ของส่วนตัวขี้เกียจทำ ใช้ระบบนับเงินที่เหลือในกระเป๋ายังพอได้ แต่ของธุรกิจ ไม่ทำบัญชี เดี๋ยวจะรวยแบบไม่รู้เรื่อง และเจ๊งแบบไม่รู้เรื่องเช่นกัน
สาเหตุประการที่สาม ใช้เงินผิดประเภท เพื่อนผมเอาเงินที่หยิบจากลิ้นชักไปซื้อข้าวกิน ไปเลี้ยงสังสรรค์ ไปซื้อของใช้เข้าบ้าน ไปผ่อนรถ...ฟังดูแล้ว ล้วนแต่เป็นเรื่องส่วนตัวทั้งสิ้น เรื่องส่วนตัวต้องใช้เงินส่วนตัว คือเงินเดือนของตัวเอง แต่เงินของธุรกิจ ควรจะจ่ายในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ชำระหนี้การค้า ซื้อวัตถุดิบ จ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง ฯลฯ อะไรก็ได้ ที่เกี่ยวกับธุรกิจ
ตอนที่รับเงินจากลูกค้า ในเงินแต่ละก้อนที่ได้รับ ประกอบด้วย ต้นทุนของสินค้า ต้นทุนค่าดำเนินการ และกำไร อยู่ในนั้น แต่เวลาที่เราหยิบออกมาจ่าย เรากลับมองว่าวันนี้รับมาเท่าไหร่ โดยมองว่าเป็นรายรับล้วนๆ ไม่คิดจะแยกทุนแยกกำไรกันเลย พอเอาไปใช้ผิดประเภท เท่ากับว่าได้ใช้ทั้งกำไรและต้นทุนไปทั้งหมด ก็จะอยู่ในอาการ "ทุนหด...กำไรไม่เหลือ"
อีกรายเป็นญาติของเพื่อน ขายไก่ย่าง ขายดิบขายดี เลี้ยงไก่เองด้วย เรียกว่าครบวงจร ขายดีจนย่างแทบไม่ทัน ออกมาเท่าไหร่ ขายหมด ขายจนเหนื่อย แต่ที่เหนื่อยกว่าคือ ขายไปพักใหญ่ ทำไมทุนหายกำไรหด ทุนหมดกำไรไม่เหลือ
สาเหตุหลักไม่หนีกรณีเพื่อนผมครับ คือ 3 สาเหตุหลักนั้น เหมือนกันทุกประการ ไม่มีการตั้งเงินเดือนของคนทำงานแต่ละคน แต่รายนี้มีคนทำหลายคน ทำกันทั้งครอบครัว ไม่มีการทำบัญชีรับ-จ่าย เอาเงินไปใช้ผิดประเภท...ครบเครื่องเลย
แต่สิ่งที่น่าใช้เป็นกรณีศึกษาเพิ่มเติมคือ รายนี้มีลักษณะของ 2 ธุรกิจ ที่เชื่อมโยงกันอยู่ อันหนึ่งเป็นเสมือนโรงงานผลิตวัตถุดิบ คือส่วนที่เป็นโรงเลี้ยงไก่ ที่มีลักษณะของธุรกิจแบบหนึ่ง อีกส่วนเป็นหน้าร้าน ที่นำวัตถุดิบมาแปรรูปเป็นไก่ย่างจำหน่าย ลักษณะของธุรกิจแตกต่างกันกับโรงเลี้ยง
ถ้าคิดแบบไม่ซับซ้อน ให้เห็นภาพเข้าใจง่าย คิดเสียว่า ถ้าต้องไปซื้อไก่จากตลาดมาย่างขาย จะต้องจ่ายเงินค่าไก่ให้แม่ค้าอย่างไร ส่วนใหญ่ต้องจ่ายสดเป็นรายวัน ถ้าซื้อเยอะ เครดิตดีหน่อย อาจได้เครดิตในระยะสั้นๆ วัน สองวัน
เช่นเดียวกัน ไก่ที่มาจากโรงเลี้ยงของเราเอง ก็ต้องจ่ายเงินสดให้เป็นรายวัน แม้เจ้าของจะคนเดียวกัน ก็ต้องแยกกระเป๋าเงินออกจากกัน กระเป๋านี้สำหรับโรงเลี้ยงไก่โดยเฉพาะ อีกกระเป๋าสำหรับร้านไก่ย่าง
ยิ่งถ้าเป็นผัวเมียช่วยกันทำ น่าจะแยกให้ผัวเป็นซีอีโอของโรงเลี้ยงไก่ แล้วเมียเป็นซีอีโอของร้านไก่ย่าง ผัวก็รับเงินเดือนของโรงเลี้ยงไก่ไป ถ้าไปช่วยย่างไก่ด้วย ก็รับเงินอีกส่วนจากร้านไก่ย่าง เรียกว่าได้ค่าจ้างจาก 2 แหล่ง เพราะทำงาน 2 ที่ ขณะที่เมียย่างไก่อย่างเดียว ก็รับเงินเดือนที่เดียว ห้ามมายุ่งกับเงินของโรงเลี้ยงไก่
การแบ่งแยกให้เกิดความชัดเจนเช่นนี้ จะทำให้การบริหารจัดการธุรกิจทำได้ง่ายขึ้น ถ้าพบว่าส่วนของโรงเลี้ยงไก่ไม่ทำเงิน เลี้ยงตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ต้องแบกภาระ ยุบทิ้งไปซะ แล้วซื้อไก่จากตลาดมาทำไก่ย่างต่อไปได้ หรือถ้าธุรกิจไก่ย่างไม่ดี ก็เลี้ยงไก่อย่างเดียว เอาไปส่งขายคนอื่นแทน
แต่กรณีของญาติเพื่อนนี้ เงินที่ขายไก่ย่างได้ถูกเก็บเข้ากระเป๋าทั้งหมด เอาไปใช้ซื้อของตามใจชอบ เพราะได้เงินเยอะเกินคาด...ไม่ใช่เกินคาดหรอกครับ เพียงแต่เงินที่ได้มา มีมูลค่าจากการขายไก่ย่างปะปนกับต้นทุนของไก่จากโรงเลี้ยง เลยดูว่าเงินเหลือเฟือ
แล้วก็ต้องหาเงินมาเติมใส่โรงเลี้ยงไก่ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นยอดหนี้ที่ฝั่งโรงเลี้ยง แต่ฝั่งของหน้าร้านเงินสะพัด ใช้จ่ายกันได้มันมือ
จากกรณีศึกษาทั้งคู่นี้ ทำให้เห็นชัดเจนว่า อย่ารีบดีใจว่าขายได้เงินเยอะ ตราบใดที่ยังไม่ได้ทำบัญชีรับ-จ่าย ให้ชัดเจน ยังไม่ได้ตั้งเงินเดือนให้คนช่วยทำงานทุกคนอย่างชัดเจน บางคนอาจได้ค่าจ้างรายวัน บางคนรายสัปดาห์ บางคนรายเดือน บางคนเหมางานเป็นครั้ง ไม่แปลกที่จะมีวิธีจ่ายค่าจ้างแบบหลากหลาย แต่ต้องมีความชัดเจนว่าจะจ่ายคนละเท่าไหร่ แล้วห้ามมาหยิบเงินจากการขายไปใช้โดยพลการ
ไม่เช่นนั้น ท่านอาจหนีไม่พ้นสถานการณ์ ขายดี...จนเจ๊ง...
.
.
จากเพจ : เทพ สเตปเกรียน