Wednesday 24 December 2014

ไม่อยากเปลี่ยนมือถือต้องรู้! ยืดอายุสมาร์ทโฟนคู่ใจ ด้วยเทคนิคใกล้ตัว

คุณใช้มือถือแบบผิดๆ อยู่หรือเปล่า? เราเตรียมคำแนะนำไว้ให้คนใช้สมาร์ทโฟนที่อยากทะนุถนอมเครื่องไว้ใช้ อย่างน้อยก็รอรุ่นที่ถูกใจ หรือยืดเวลาเก็บหอมออมเงินซื้อเครื่องใหม่…

จะว่าไปเทคโนโลยีใหม่ๆ ของสมาร์ทโฟนรุ่นต่างๆ ที่ทยอยออกสู่ตลาดนี่ก็ช่างล่อตาล่อใจ ดึงดูดเงินในกระเป๋าเราซะเหลือเกิน แต่… ถ้ายังไม่ถึงเวลา หรือยังไม่อยากเปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ล่ะ? แน่นอนว่าคุณจะต้องดูแลทะนุถนอมมันอย่างดี เพื่อรับมือกับการใช้งานอีกซักระยะ อย่างน้อย...ก็จนกว่าคุณจะอยากเปลี่ยนใจไปใช้รุ่นใหม่

เรื่องของการดูแล รักษา หรือเทคนิคแนะนำสำหรับการใช้งานนั้น ถ้าไม่มีเทคนิคนิดๆ หน่อยๆ เพื่อทะนุถนอมเครื่อง ก็รับรองได้เลยว่าอุปกรณ์นั้นคงจะอยู่กับคุณได้ไม่นานนักหรอก
มือถือติดตัวตลอด... แบตจะไม่หมดได้ยังไงไหว!

จะรอช้าอยู่ทำไม...! ถ้าคุณอยากข้ามเข้าสู่ปีใหม่ไปพร้อมกับมือถือเครื่องเก่า เป็นอันว่าแค่ทำตามคำแนะนำของเรา ช่วงไหนควรใช้ ช่วงไหนควรงด เพื่อยืดอายุการใช้งานมือถือคู่ใจ... ตามไปดูกัน!!!

งานนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" ได้คำแนะนำจาก "เบลกิ้น ประเทศไทย" ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์สำรองไฟแบบพกพา ที่จะมาบอกเล่าเทคนิคแบบ Do&Don’t ให้คุณได้ใช้สมาร์ทโฟนแบบยาวๆ ในระหว่างเดินทางหรือท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดนี้...

ห่างกันสักพัก...ช่วงชาร์จแบต
คุณเคยได้ยินหรือเปล่า ที่เขาบอกว่าอย่าใช้มือถือขณะชาร์จแบตเตอรี่น่ะ... เป็นความจริงนะจ๊ะ เพราะว่าการชาร์จแบตไปด้วยใช้มือถือไปด้วยนั้น จะทำให้แบตเตอรี่ต้องทำงานมากกว่าปกติถึง 40 เท่าเชียวนะ หากจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็ให้ใช้สายชาร์จแบบ AC Adaptor แทนแล้วกัน
ใช้มือถือหนักๆ ก็ต้องทะนุถนอมกันบ้าง

40% ก็ชาร์จได้แล้ว
ใครบอกว่าต้องรอให้แบตเตอรี่หมดแล้วค่อยชาร์จ โธ่ เหลือสัก 40% ก็ชาร์จได้แล้ว เพราะระดับดังกล่าวจะทำให้ประจุในแบตเตอรี่ทำงานตามปกติและไม่เสื่อมสภาพด้วย แต่ถ้าคุณรอให้แบตหมด 0% แล้วค่อยหยิบไปชาร์จนั่นยิ่งทำให้แบตพังไวมากขึ้นอีก เพราะแบตต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น 3 เท่า จากการเรียกคืนประจุและยังเป็นเหตุให้เครื่องร้อนง่ายอีกด้วย จะให้ดี...ควรถอดเคสก่อนชาร์จแบตด้วยนะ

ใช้ปลั๊กพ่วงปลอดภัยกว่า!
การใช้ปลั๊กแบบราง หรือปลั๊กพ่วง ปลั๊กสามตา เพื่อเสียบชาร์จแบตมือถือนั้นถือเป็นการตัดการใช้ไฟนานกว่าปกติ แถมยังลดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจร เพิ่มความปลอดภัยให้ทั้งคนและมือถือได้อีกระดับหนึ่ง

ไม่ชอบความร้อน...
การทิ้งมือถือไว้บนรถซึ่งจอดไว้กลางแจ้ง นั่นเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์!!! เพราะมือถือไม่ชอบความร้อนหรอกนะ มันจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมได้ง่าย จะให้ดีควรเก็บอุปกรณ์เหล่านี้ไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิระหว่าง 0-35 องศาเซลเซียส และหากใช้งานแล้วเครื่องเกิดร้อนจี๋ขึ้นมา ก็ควรรีบวางพักไว้ที่อุณหภูมิ 23-25 องศาเซลเซียสทันทีด้วย
เลือกอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน

เคลียร์แอพเป็นประจำ
รู้หรือไม่...การปล่อยให้แอพพลิเคชั่นต่างๆ เปิดค้างรอการใช้งานของคุณนั้นมันส่งผลเสียอย่างไรบ้าง ไหนจะการแจ้งเตือนที่คอยเด้งขึ้นมาอยู่ตลอด หรือแสงสว่างจากหน้าจอที่จะคอยกินไฟเปลืองแบตเตอรี่ ดังนั้น ข้อควรปฏิบัติก็คือปรับแสงหน้าจอให้สว่างพอเหมาะ ไม่จ้าเกินไป ไม่มืดเกินไป แอพพลิเคชั่นไหนไม่ใช้ก็ลบออกจากเครื่องไปโลด หรือแอพไหนเลิกใช้งานแล้วก็เคลียร์ๆ ปิดไปบ้าง

ใส่ใจตอนชาร์จแบต
เคยเสียบปลั๊กชาร์จแบตแล้วเกิดไฟช็อตบ้างมั้ย? อันตรายสุดๆ เลยนะ ทางที่ดีก็ควรเสียบที่ชาร์จเข้ากับปลั๊กเสียก่อน แล้วค่อยต่อกับสายชาร์จมือถืออีกที เพื่อป้องกันไฟช็อตไฟกระชากนะจ๊ะ ถ้ายังชาร์จแบตแบบผิดวิธีก็เปลี่ยนได้เลย จำเอาไว้ให้แม่นว่า... มือถือจะเป็นสิ่งสุดท้ายในการเสียบสายชาร์จแบตเตอรี่

จัดสรรเวลาการใช้งาน
สำหรับคนที่มีมือถือหลายเครื่อง หรือพวกที่ชอบเก็บมือถือเครื่องเก่าเอาไว้นานๆ จนลืม จงฟังให้ดี! ถ้าคุณเก็บมือถือไว้แบบนั้นโดยไม่ค่อยหยิบออกมาใช้ มันจะยิ่งทำให้อิเล็กตรอนในแบตเตอรี่ไม่ได้เคลื่อนไหว และกลายเป็นการบั่นทอนอายุมือถือของคุณให้มันเสื่อมประสิทธิภาพง่ายขึ้น จะให้ดีก็หมั่นสลับๆ สับเปลี่ยนมาใช้ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น
ใช้และชาร์จแบตให้ถูกวิธี เพื่อยืดอายุการใช้งาน

ปกป้องเครื่องกันหน่อย
การทำมือถือตกหล่นบ่อยๆ มันไม่ใช่เรื่องดีเอาซะเลย ถ้าคุณไม่สามารถระมัดระวังให้มันไม่ตกไม่หล่นได้ ก็ต้องหาอุปกรณ์ปกป้องมือถือไว้สักหน่อย จะเคสกันกระแทกหรือฟิล์มกันจอแตก อะไรก็ได้ที่คิดว่าจะพอป้องกันมือถือได้น่ะ แต่บอกไว้ก่อนว่าการทำตกบ่อยๆ ยิ่งทำให้แบตเตอรี่เสียหาย ถึงขนาดอาจทำให้สารเคมีในแบตรั่วไหลหรือขั้วแบตหลุดออกมา ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการจ่ายไฟเลยทีเดียว

บอกลาที่ชาร์จปลอม!
อะไรที่ได้มาตรฐานก็มักจะแพงเสมอ...หลายคนจึงเลือกใช้ของปลอม แต่คุณคิดผิดแล้ว! เพราะอุปกรณ์ปลอมกับการชาร์จมือถือนั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงให้ชีวิตคุณโดยไม่รู้ตัว ยังไงก็เว้นเรื่องของไฟฟ้าไว้บ้างเถอะ เลือกใช้แบบมีการรับรองมาตรฐานเอาไว้ดีกว่า เพราะนอกจากจะปลอดภัยต่อการใช้งานแล้ว ก็ยังปลอดภัยกับชีวิตของคุณเองด้วย

รู้วิธียืดอายุการใช้งานแล้ว ก็อย่าลืมทะนุถนอมมือถือในมือซะหน่อย อย่างน้อย จะได้ใช้งานให้คุ้มค่าเงินที่ซื้อมา...!

Monday 22 December 2014

ประโยชน์ของการนอนเร็วก่อน 4 ทุ่ม

" ประโยชน์ของการนอนเร็วก่อน 4 ทุ่ม "

โดย นพ.กฤษดา เล่าให้ฟังถึงผลเสียของการนอนดึกว่า ทำให้ 5 อวัยวะหลักเสื่อมเร็วขึ้นดังนี้
(1)"สมอง"
(2)หัวใจ 
(3)หลอดเลือด
(4)ต่อมไร้ท่อ
(5)ภูมิคุ้มกันร่างกาย

ถ้าปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นคนนอนเร็วขึ้น ก่อน4 ทุ่มก็จะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นถึง 9 ประการ

1. สมองสร้างเคมีฯที่มีประโยชน์กับอวัยวะ
ต่างๆของร่างกาย สมองเป็นส่วนสำคัญในการแจกงานให้อวัยวะต่าง ๆ แม้แต่เวลานอนก็ยังทำให้ร่างกายได้รับ เคมีนิทรา (เมลาโทนิน), เคมีสุข (ซีโรโทนิน),ฮอร์โมนเพศและเคมีหนุ่มสาว(โกรทฮอร์โมน)แถมยังมีเคมีบำรุงออกมาควบคุมระบบในตัวเราให้ทำงานราบรื่น ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ทำให้ดูอ่อนเยาว์ สร้างเกราะป้องกันอาการป่วยได้ด้วย

2. สมองมีความจำดีขึ้น
การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า คนที่นอนหลับได้แค่ราว 4 ชั่วโมงต่อคืน ติดต่อกันนาน ๆ มีผลต่อความจำและสมาธิมากขึ้น นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยจัดระเบียบคล้ายกับการแยกอีเมลขยะออกไป แต่ถ้าเราอดนอน เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือไม่ก็ลิ้นพันกัน คิดอย่างพูดอย่าง

3. คุมความดันโลหิตได้ การนอนหลับเร็ว จะช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลาย และกลไกทางชีววิทยาที่เป็นเหมือนฟันเฟืองขนาดจิ๋วทำงานซับซ้อนช่วยควบคุมหัวใจ และความดันโลหิตให้สงบลง ไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่นนอน

4. ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนสึกหร
การนอนไวช่วยซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ ช่วยให้สมองได้พักผ่อน กล้ามเนื้อคลาย ตัว หัวใจสงบขึ้น ความดันลดลง

5. ได้ล้างพิษ เวลาที่เรานอนจะเป็นช่วง เวลาที่อวัยวะอย่าง ตับ ไต ลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยล้างพิษทำงานได้ดีขึ้น

6. ไม่อ้วนง่าย การนอนเร็วช่วยคุมน้ำหนัก ตัวได้ดีกว่า อีกทั้งยังกระตุ้นเตาเผาใน ร่างกายให้ทำงานได้ดี ช่วยให้ไม่อ้วนง่าย ไม่สร้างเคมีเก็บไขมันมากด้วย

7. มีสุขภาพดีขึ้นถ้าเรานอนให้เร็วขึ้น เรา จะได้นอนอย่างเต็มอิ่ม ร่างกายและสมอง ได้พักผ่อน ความจำดี มีสมาธิ มองอะไร ก็มีความสุขได้ง่ายขึ้น

8. โรคไม่กำเริบ การนอนไวไม่เสี่ยงต่อ
โรค กำเริบโดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันสูง เบาหวาน ภูมิแพ้ โรคเครียดซึมเศร้า และโรคมะเร็ง

9. ชะลอความแก่ นอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะ แค่นอนก็ช่วยเสริมสร้างความหนุ่มสาว และช่วยให้หลับสนิททั้งหลายไม่ทำร้ายร่างกายก่อนวัยอันควร จึงป้องกันความเสื่อมชรา

Tuesday 9 December 2014

อาหารที่ไม่ควรทานตอนท้องว่าง

ตอนเย็น เพื่อนๆ หลายคนคงจะรู้สึกหิวใช่ไหมค่ะ แต่อย่าเพิ่งเดินไปหยิบอาหารหรือเครื่องดื่มมากินนะคะ เพราะอาหารหรือเครื่องดื่มบ้างอย่างไม่ควรรับประทานตอนท้องว่าง เพราะสารอาหารต่างๆ ที่อยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่ม 5 ประเภทนี้ จะไปสร้างปฏิกิริยากับน้ำย่อยในกระเพาะจนเกิดอาการผิดปกติในร่างกายได้ค่ะ...
1. กล้วย...เป็นผลไม้ที่มีธาตุแมกนีเซียมมาก ถ้ารับประทานในขณะที่ท้องว่างจะทำให้ธาตุแมกนีเซียมในเลือดเพิ่มสูงขึ้น และจะสูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งจะเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก รวมทั้งยังทำให้ท้องอืดอีกด้วย
2. นมและนมถั่วเหลือง…นมและนมถั่วเหลืองอุดมไปด้วยโปรตีน แต่ถ้าดื่มในขณะที่ท้องว่างจะทำให้เกิดอาการจุกเสียดและปวดท้อง เพราะกระเพาะอาหารต้องทำงานหนักเพื่อย่อยสารอาหารในนม ซึ่งบางคนจะท้องเสียด้วย โดยนมจะมีประโยชน์มากที่สุดเมื่อกระเพาะมีอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย
3. น้ำตาลหรืออาหารหวาน…การรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต หรือลูกอม ในขณะที่ท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนทุกชนิด รวมถึงโปรตีนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายด้วย จึงทำให้สมรรถภาพการทำงานของไตและการหมุนเวียนของโลหิตลดลงและยังลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
4. ลูกพลับ…เป็นผลไม้ที่มียางและสารแขวนลอย ถ้ารับประทานในขณะที่ท้องว่างจะทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก และเมื่อรวมกับสารในลูกพลับจะทำให้รู้สึกเจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
5. น้ำชา...น้ำชาที่เข้มข้นจะทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารที่ว่างอยู่เจือจางลง ทำให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง จนเกิดอาการใจสั่น วิงเวียนศีรษะ มือเท้าอ่อนแรง ถ้าดื่มชาที่เข้มข้นควรหาของว่างหรือขนมรับประทานคู่ด้วย

Monday 8 December 2014

น้ำยาปราบเห็บหมัดสุนัขแบบไม่มีสารพิษ

น้ำยาปราบเห็บหมัดสุนัขแบบไม่มีสารพิษ
ส่วนประกอบ

- เมล็ดน้อยหน่าที่กินเหลือ

- น้ำเปล่า หรือแอลกอฮอล์

วิธีทำน้ำยาปราบเห็บหมัดสุนัขแบบไม่มีสารพิษ


นำเมล็ดน้อยหน่ามาตำให้แตกละเอียด


แล้วนำมาผสมในแอลกอฮอล์หรือน้ำเปล่า ทิ้งไว้สักครู่ ให้ส่วนประกอบเข้ากันดี


จะได้น้ำยาปราบเห็บหมัดแบบไม่มีสารพิษให้ต้องกังวลเวลาใช้



วิธีใช้น้ำยาปราบเห็บหมัดสุนัข


นำน้ำยาปราบเห็บหมัดสุนัขที่ทำไว้ มาชโลมบนตัวสุนัขหลังอาบน้ำเสร็จ แล้วเช็ดตัวให้แห้ง ไดร์ขนตามปกติ จะปรากฏว่าเห็บหมัดทั้งหลายหายไปหมด ไม่มีเหลือ



วิธีทำเป็นสเปรย์ปราบเห็บหมัดสุนัข


เราสามารถนำน้ำยาที่ทำไว้แล้ว มาบรรจุเป็นสเปรย์ เพื่อความสะดวกเวลาใช้งาน สำหรับฉีดกำจัดตามจุดบนร่างกายสุนัข หรือตามกำแพงบ้าน ฝาบ้านที่พบ


ให้รินเอาน้ำยาที่ทำไว้ เอาเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำ ใส่ในกระบอกสเปรย์ฉีดรีดผ้า ลองนำไปฉีดใส่เห็บหมัด จะปรากฏว่าเห็บหมัดตายกันเห็น ๆ สุนัขก็ปรกติดีไม่มีอาการเมายาใด ๆ ทั้งสิ้น



ที่มา: http://www.lokehoon.com/topic.php?q_id=221

Monday 3 November 2014

ประโยชน์ของเบกกิ้งโซด


  1. หากมีอาการเจ็บคอ ให้ผสมเบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชาลงในน้ำเปล่า แล้วนำมาใช้กลั้วคอทุกๆ 4 ชั่วโมง ก็จะช่วยลดอาการเจ็บคอที่เกิดจากกรดได้
  2. ใช้รักษาแผลในช่องปาก ให้ใช้เบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชาผสมลงในน้ำเปล่า แล้วนำมาใช้กลั้วคอทุกๆ 4 ชั่วโมง
  3. ช่วยทำให้เรอ ด้วยการใช้ผงฟูนำมาผสมกับน้ำดื่ม จะช่วยทำให้เรอและแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อได้
  4. โซเดียมไบคาร์บอเนตสามารถนำมารับประทานเพื่อช่วยในการลดกรดในกระเพาะอาหารได้
  5. ช่วยบรรเทาอาการของลมพิษ ด้วยการใช้ผงเบกกิ้งโซดานำมาผสมกับน้ำ 2-3 หยด (พอให้ได้เป็นแป้งเปียก) แล้วนำมาใช้ทาบริเวณที่เป็นผื่นเพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองและแก้อาการคัน
  6. หากถูกแมลงกัดต่อย ก็ให้ใช้เบกกิ้งโวดาผสมกับน้ำ แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น ก็จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้
  7. ใช้บรรเทาอาการผิวไหม้แดด ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาผสมลงในน้ำอุ่นสำหรับอาบ แล้วนำมาอาบก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนที่เกิดจากผิวไหม้แดดได้
  8. หากเป็นฮ่องกงฟุต (อาการคันตามง่ามเท้าเพราะติดเชื้อรา) ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับน้ำให้พอเหนียว แล้วนำมาทาที่เท้า หลังจากนั้นให้ล้างเท้าและเช็ดให้แห้ง แล้วปิดท้ายด้วยการนำแป้งข้าวโพดมาทาบริเวณที่คันอีกครั้งหนึ่ง จะช่วยลดอาการคันและอาการแสบร้อนตามง่ามนิ้วเท้าได้
  9. ช่วยทำให้ผิวเนียนใส ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำข้าวโอ๊ต นมสด และน้ำผึ้งนำมาขัดเบาๆ เพื่อผิวที่สะอาดใสขึ้น (จะขัดส่วนไหน ส่วนนั้นต้องเปียกน้ำก่อน ส่วนไหนบอบบางก็ให้ขัดเบาๆ และให้ทำเป็นประจำนะครับ แต่ไม่ต้องถึงขนาดต้องทำทุกวันนะครับ))
  10. ใช้ทำสครับขัดหน้าได้ดี สูตรแรกให้ใช้เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ, ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ, และน้ำสด 2 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมรวมกันใช้ขัดผิวหน้าเบาๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าเย็นๆ จะช่วยทำให้หน้าใสได้ ส่วนสูตรที่ 2 ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 3 ส่วน ผสมกับน้ำเปล่า 1 ส่วน โดยผสมกันให้ได้เปียกๆ แล้วนำมาขัดผิวหน้าเบาๆ จนสะอาด
  11. ใช้ทำสครับขัดผิว ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย, เกลือ 1/2 ถ้วย, น้ำมันทาผิว 2 ช้อนโต๊ะ, และมะนาว 1 ลูก แล้วนำมาผสมกัน ใช้ขัดผิวในระหว่างอาบน้ำ
  12. ใช้ผลัดเซลล์ผิวใหม่ให้สดใสมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 3 ส่วน และน้ำ 1 ส่วน นำมาผสมกันใช้เช็ดถูบริเวณที่ต้องการ แล้วค่อยล้างออก
  13. มีบางท่านใช้เบกกิ้งโซดาเพื่อกำจัดสิวเสี้ยน โดยใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำแล้วเอามาขัดเบาๆ ที่จมูกไปเรื่อยๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยทำให้สิวเสี้ยนจางลงได้
  14. ใช้ทำน้ำยาระงับกลิ่นปาก สูตรแรกให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 1 ถ้วย แล้วนำมาใช้บ้วนปากจะช่วยดับกลิ่นปากได้ ส่วนสูตรที่สองให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมในน้ำ 1 แก้ว จะช่วยดับกลิ่นกระเทียมได้ แต่ถ้าใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 1 แก้ว และผสมกับเกลือ 1 ช้อนโต๊ะก็ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากได้เช่นกัน
  15. ช่วยทำให้ฟันขาว ขจัดคราบชาหรือกาแฟ ลดหินปูนbaking soda ให้ใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชาผสมกับน้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา แล้วใช้แปรงสีฟันจุ่มลงไป นำมาใช้ขัดฟันเบาๆ แล้วบ้วนน้ำเปล่าจนสะอาด จะช่วยกำจัดคราบชาหรือกาแฟได้ครับ แต่ห้ามทำเวลาป่วยนะครับ เนื่องจากมะนาวมีความเป็นกรดสูงอาจไปทำลายเคลือบฟันได้
  16. ใช้ทำสปาเท้า ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย, เกลือทะเล 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมินต์, และน้ำอุ่นใส่ในกะละมังสำหรับแช่เท้า เมื่อแช่เท้าแล้วจะทำให้รู้สึกสบายเท้า ช่วยฆ่าเชื้อโรค ดับกลิ่นเท้า และความร้อนจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้าได้อีกด้วย
  17. ช่วยทำให้หนังหุ้มเล็บนุ่มขึ้น ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาประมาณหนึ่งหยิบมือผสมลงในชามน้ำอุ่น แล้วแช่มือไว้ในนั้นประมาณสองสามนาที ก่อนจะล้างน้ำให้สะอาด จะช่วยให้หนังหุ้มเล็บนุ่มขึ้นได้
  18. ใช้ทำความสะอาดเส้นผม ด้วยการผสมเบกกิ้งโซดาหนึ่งช้อนชาเข้ากับแชมพูสระผมตามที่คุณใช้ปกติ เพื่อช่วยขจัดสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์แต่งผม (วิธีนี้จะได้ผลดีเป็นพิเศษกับผมเส้นเล็ก)
  19. ลองเปลี่ยนจากแชมพูมาใช้เบกกิ้งโซดาแทนดูสักครั้ง รับรองเลยว่าจะช่วยทำให้รังแคของคุณน้อลงอย่างทันตาเห็น
  20. ใช้หมักเนื้อหมูให้นุ่ม ให้ใส่เบกกิ้งโซดาเพียงเล็กน้อย (ใส่มากเกินไปจะมีกลิ่นของสารเคมี) แล้วหมักหมูก็จะทำให้เนื้อนุ่มได้
  21. ถ้าอยากได้ไข่เจียวฟูหอมอร่อยน่ารับประทาน ก็ให้ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปครึ่งช้อนต่อไข่ 3 ฟอง ก็จะได้ไข่เจียวที่ฟูน่ารับประทาน
  22. การทำขนมปังให้ฟูน่ารับประทาน จะนิยมใช้ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนตมาใช้ในการทำขนมปังแทนการใช้ยีสต์ เพราะเมื่อผงฟูผสมกับน้ำก็จะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่นเดียวกับการใช้ยีสต์ แต่ผลเสียของผงฟูก็คือ หากใส่มากเกินไปก็จะทำให้มีรสเฝื่อนขม และการฟูของขนมปังก็จะหยาบกว่าการใช้ยีสต์ แต่มีข่อดีก็คือ ใช้ได้ง่ายกว่าและเก็บรักษาไว้ได้นานกว่า
  23. เค้กกล้วยหอมถ้าจะทำให้ฟูนุ่มน่ารับประทาน ก็ต้องใช้เบกกิ้งโซดาเป็นส่วนผสม
  24. ใช้ดับไฟในกระทะ ในกรณีที่มีน้ำมันกระเด็นติดไฟในขณะทำอาหาร หรือว่าไฟติดกระทะ หากเราใช้น้ำเทลงไปบนน้ำมันที่ร้อนๆ จะทำให้ไฟลุกมากยิ่งขึ้น (เนื่องจากน้ำมันกระจาย) แต่ถ้าเราใช้เบกกิ้งโซดาเทลงไปตรงๆ เบกกิ้งโซดาเมื่อถูกความร้อนก็จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา จึงช่วยทำให้ไฟลดน้อยลงได้
  25. ใช้ทำความสะอาดผักและผลไม้ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 4 ถ้วย (รอให้ส่วนผสมเย็น) แล้วนำมาใช้ล้างผักผลไม้ โดยนำมาแช่ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเปล่าอีกครั้งหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยทำให้ผักผลไม้ดูสะอาดน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น
  26. ใช้ทำเป็นน้ำยาล้างสารพิษจากผักผลไม้ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 10 ลิตร แล้วนำผักผลไม้มาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที เสร็จแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำเปล่าอีก 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษตกค้างจากผักได้ถึง 90% (หากล้างไม่สะอาด การได้รับเบกกิ้งโซดาในปริมาณมากจนเกินไปก็อาจทะให้ท้องเสียได้)
  27. ใช้ทำเป็นน้ำยาขจัดคราบในกาน้ำชาที่เป็นโลหะ ด้วยการเติมน้ำลงในกาน้ำชา แล้วเติมเบกกิ้งโซดาตามลงไป 2 ช้อนโต๊ะ และให้บีบน้ำมะนาวลงไปอีกครึ่งลูก แล้วนำไปต้มประมาณ 15 นาที เสร็จแล้วนำมาขัดและล้างให้สะอาดอีกครั้งหนึ่ง
  28. ใช้ล้างจานก็ได้ เพราะผงฟูสามารถขจัดกลิ่นและคราบมันได้ดี ด้วยการใช้ผงฟูเทแล้วใช้ฟองน้ำขัดล้าง หรือจะผสมผงฟูกับน้ำแล้วเอาฟองน้ำจุ่มล้างจานก็ได้
  29. ใช้ทำน้ำยาทำความสะอาดเตาไมโครเวฟ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่นอีก 1 ลิตร แล้วนำมาผ้ามาชุบแล้วเช็ดทำความสะอาดภายในเตาไมโครเวฟ คราบสกปรกก็จะเช็ดออกได้อย่างง่ายดาย
  30. ช่วยขจัดคราบไขมันที่ติดรอบท่อของอ่างล้างจาน (หากปล่อยไว้นานจะทำให้ท่ออุดตันได้) ก็ให้ใช้เกลือแกงใส่ลงไปในท่อประมาณ 2-3 ช้อน จากนั้นให้นำเบกกิ้งโซดาไปต้มกับน้ำให้เดือดแล้วเทลงไปในท่อ ไขมันที่อุดตันอยู่ก็จะหลุดออกมาหมด
  31. ใช้ทำความสะอาดเขียง ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำแล้วนำมาใช้ทำความสะอาดเขียง วิธีนี้จะช่วยขัดกลิ่นคาวบนเขียงได้
  32. ใช้ขจัดรอยไหม้ตามกระทะหรือหม้อ ด้วยการเอาเครื่องครัวเหล่านั้นนั้นมาแช่ด้วยน้ำอุ่นที่ผสมเบกกิ้งโซดาประมาร 15 นาที แล้วค่อยล้างออก วิธีนี้จะช่วยทำให้รอยไหม้จางลงได้
  33. ใช้แก้ปัญหาท่ออุดตันด้วยคราบไขมันในอ่างล้างจาน ด้วยการใช้เกลือนำมาโรยรอบๆ ขอบท่อ จากนั้นให้นำน้ำยาเบกกิ้งโซดา 10 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำร้อน 1 ขวดลิตร แล้วค่อยๆ ลงไป เกลือและน้ำยาจะช่วยทำให้คราบไขมันหลุดออกได้โดยง่าย และให้ทำซ้ำอีกประมาณ 2-3 รอบ แล้วตามด้วยน้ำเปล่าอีกครึ่งหนึ่ง
  34. ใช้ทำเป็นครีมลบรอยขูดขีดบนเครื่องครัว ด้วยการละลายเบกกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 1 ลิตร แล้วทำความสะอาดเครื่องครัวที่ทำมาจากสแตนเลส โครเมียม พลาสติก ฟอร์ไมก้า (ยกเว้นอะลูมิเนียม) จะทำให้ริ้วรอยเลือนหายไป
  35. ใช้เช็ดทำความสะอาดเตารีด ด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำผสมกับเบกกิ้งโซดาแล้วบิดให้พอหมาด หลังจากนั้นนำไปเช็ดใต้เตารีดหรือเครื่องครัวที่ทำมาจากสแตนเลส หรือโครเมียม จะช่วยทำความสะอาดได้หมดจดและไม่เกิดไม่เกิดรอยขูดขีด
  36. ใช้ทำความสะอาดเครื่องปิ้งขนมปัง ด้วยการใช้ผงเบกกิ้งโซดาโรยบนผ้าเปียก แล้วเอามาเช็ดตรงตะแกรง ก็จะช่วยทำให้เครื่องปิ้งขนมปังของคุณกลีบมาสะอาดได้เหมือนเดิม
  37. ผงฟูมีอนุภาคเล็กเป็นรูปทรงผลึกที่อ่อนนุ่ม จึงนำมาใช้ในการขัดถูได้ดี อีกทั้งยังช่วยดูดกลิ่นเหม็น ความชื้น ฆ่าเชื้อโรค ปรับค่าความเป็นกรดด่าง และไม่กัดกร่อนผิวภาชนะ จึงสามารถนำมาใช้ทำบ้านเรือนได้อย่างดี เช่น ใช้ทำ
  38. ความสะอาดหน้าต่างก็ให้ขจัดคราบสกปรกบนขอบและบานหน้าต่างด้วยฟองน้ำเปียกๆ ก่อนแล้วโรยด้วยผงฟูเล็กน้อย แล้วล้างด้วยฟองน้ำและเช็ดให้แห้ง ถ้าใช้ล้างหน้าต่างบานเกล็ดก็ให้ใช้น้ำอุ่นที่ผสมกับผงฟู 3/4 ถ้วยตวง ราดน้ำให้เปียกทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วใช้แปรงขัดออก ถ้าใช้ล้างหน้าต่างอลูมิเนียม ก็ให้ใช้แปรงเปียกๆ จิ้มลงในผงฟูแล้วเอามาขัดออก และใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่มๆ ล้างให้สะอาด หรือถ้าใช้ทำความสะอาดงานไม้ ฝาหนัง หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ก็ได้เช่นกัน (ใช้ผงฟูผสมกับน้ำส้มสายชูและน้ำอุ่น) ถ้ามีรอยด่างเป็นวงหรือรอยจุกบนเฟอร์นิเจอร์ไม้ หากเกิดความร้อนบางครั้งก็อาจขัดออกได้ด้วยการผสมกับยาสีฟันและผงฟูอย่างละเท่ากัน แล้วใช้ผ้านุ่มๆ เช็ดออกอย่างเบาๆ และยังใช้ในผลิตภัณฑ์ขัดเงาได้อีกด้วยหากจำเป็น นอกจากนี้ยังใช้ขจัดคราบหยดน้ำบนพื้นไม้ได้อีกด้วย ด้วยการใช้ผงฟูกับผ้าขี้ริ้วหมาดๆ แล้วเช็ดออก แต่จงจำไว้ว่าเครื่องเรือนที่ทำจากไม้ไม่ควรทำให้เปียก
  39. ใช้ทำความสะอาดพื้นผิวที่มีคราบสกปรก (สำหรับพื้นผิวแข็งๆ เช่น พื้นครัว พื้นห้องน้ำ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ) ให้ละลายเบกกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำอุ่น 4 ถ้วย แล้วนำมาเช็ดทำความสะอาด แล้วค่อยล้างออกอีกครั้งหนึ่ง
  40. ในกรณีที่มีคราบสกปรกที่ทำความสะอาดได้ยาก ก็ให้ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำอุ่นในปริมาณที่เท่ากันจนข้นเป็นแป้ง แล้วนำมาพอกทิ้งไว้บริเวณที่คราบสกปรกประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วค่อยเช็ดออก หรือจะใช้ฟองน้ำเปียกๆ เช็ดผงฟูเพื่อใช้เช็ดคราบสีเทียนที่ติดบนผนัง ดินสอ ปากกามาร์คเกอร์ รวมทั้งคราบน้ำมันได้ด้วย โดยให้เช็ดถูเบาๆ แต่ถ้าเป็นคราบน้ำหมักที่ติดบนเสื่อน้ำมัน ก็ให้ใช้ผงฟูข้นๆ ป้ายบริเวณรอยหมึกทิ้งไว้จนแห้งสักครู่ก่อนจะเช็ดออก แล้วใช้ผงฟูใหม่ๆ ขัดออกอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าใช้เพื่อเช็ดถูคราบสกปรกที่เกิดจากรอยลากไปมาบนพื้นเสื่อน้ำมัน ก็ให้ใช้ผงฟูผสมกับน้ำเปียกๆ ข้นๆ แล้วนำมาเช็ดถูบริเวณที่เป็นรอย
  41. ใช้ทำความสะอาดคราบที่เกิดจากกรด (กรดจากแบตเตอรี่ ปัสสาวะ หรือคาบอาเจียน) อย่างแรกให้ทำความสะอาดด้วยการใช้น้ำเย็นซะออกแรงๆ โดยทันทีถ้าเป็นไปได้ จากนั้นจึงทำให้เกิดสภาพความเป็นกลางโดยใช้ผงฟู
  42. หากใช้ผงฟูสัก 1 ถ้วยตวง เทลงในโถส้วมหรือท่อน้ำทิ้งเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง ก็จะช่วยคงสภาพความเป็นกรดและด่างได้ เพราะสภาพความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมจะช่วยทำให้แบคทีเรียแตกตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันการตกค้างและการอุดตันได้
  43. ใช้ทำความสะอาดผนังที่มีคราบเขม่าควันดำ (ใช้เศษผ้าชื้นๆ และผงฟูละลายเข้มข้น นำมาเช็ดถู) หรือใช้ทำความสะอาดเครื่องประดับลวดลายลูกไม้ประเภทต่างๆ
  44. ใช้ทำความสะอาดแป้นพิมพ์ดีด ด้วยการใช้แปรงสีฟันขนอ่อนๆ ขัดโดยใช้ผงฟู 4 ช้อนโต๊ะที่ละลายกับน้ำ 1 ถ้วยตวง จากนั้นให้ใช้กระดาษชำระเช็ดออก
  45. การใช้ผงฟูอย่างสม่ำเสมอยังช่วยป้องกันไม่ให้แทงค์คอนกรีตหรือแทงค์ที่ทำจากโลหะผุกร่อนได้ง่ายอีกด้วย โดยเฉพาะในบริเวณของฝาแทงค์ที่ต้องสัมผัสกับไอระเหยที่ผุกร่อนได้ง่าย
  46. เราสามารถใช้ผงฟูผสมกับน้ำเพียงเล็กน้อยให้เปียกข้น แล้วนำมาใช้อุดรูตามผนังที่มีรอยปูนแตกร้าว เพื่อซ่อมแซมเป็นการชั่วคราวได้ เพราะถ้ามันแห้งแล้วจะดูกลมกลืนเข้าไปกับฝาผนังปูนพลาสเตอร์ขาว
  47. ใช้ทำน้ำยาดับกลิ่นพรม ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย นำมาผสมกับแป้งข้าวโพด 1/2 ถ้วย แล้วหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไปประมาณ 15 หยด จากนั้นนำมาใส่ขวดสเปรย์ใช้ก่อนนำมาใช้ฉีดบนพื้นพรมก่อนนอนทิ้งไว้จนเช้า จะช่วยทำให้กลิ่นพรมสะอาดสดชื่นขึ้น หรืออีกวิธีให้โรยเบกกิ้งโซดาให้ทั่ว แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วค่อยดูดออกด้วยเครื่องดูดฝุ่น
  48. ใช้ทำความสะอาดพรม ด้วยการใช้ผงฟูผสมกับน้ำอุ่น 1 แกลลอน หรือจะนำมาซักในถุงน้ำก็ได้ แต่ถ้าจะทำความสะอาดเฉพาะบริเวณที่มีคราบสกปรกโดยการแปรงด้วยมือ ก็ให้โรยผงฟูเล็กน้อยลงบนคราบ ทิ้งไว้สักครู่ก่อนจะเช็ดออกด้วยฟองน้ำหรือผ้าโดยเฉพาะ
  49. หากพรมเปื้อนคราบน้ำมัน ให้เทน้ำที่ผสมกับเบกกิ้งโซดาลงไปตรงบริเวณที่เป็นคราบ แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง คราบก็จะจางลง หลังจากนั้นให้ใช้น้ำผสมกับเบกกิ้งโซดาเช็ดทำความสะอาดซ้ำอีกครึ่งหนึ่ง หรือถ้าใช้ขจัดคราบไวน์หรือคราบสกปรกมันบนพรม ก็ให้ใช้ผงฟูโรยบางๆ ทันทีที่มีรอยเปื้อน ทำซ้ำหรือค่อยๆ เติมผงฟูใหม่อีกครั้งถ้าจำเป็น แล้วทิ้งไว้สักพักจนกว่าผงฟูจะดูดซับคราบสกปรก แล้วค่อยใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออกให้หมด
  50. ใช้ทำเป็นน้ำยาทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์ ด้วยการเทเบกกิ้งโซดา 1/2 กล่อง ลงในถังน้ำหลังชักโครกทิ้งไว้ 1 คืน แล้วจึงค่อยกดชักโครก จะช่วยทำให้ถังและชักโครกสะอาดและปราศจากกลิ่นได้
  51. หากรองเท้ามีกลิ่นเหม็นที่เกิดจากการหมักหมมมานาน ให้นำเบกกิ้งโซดามาโรยในรองเท้า แล้วนำรองเท้าคู่นั้นมาใส่ในถุงพลาสติดรัดให้แน่น แล้วนำไปแช่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นประมาณ 1-2 คืน (-_-“) แล้วค่อยนำรองเท้าออกมาทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง หลังจากนั้นนำรองเท้าไปสลัดผงเบกกิ้งโซดาออกให้หมดแล้วนำมาสวมใส่ได้เลย แต่ถ้ายังไม่นำมาสวมใส่ทันทีก็ให้ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นก่อนจนกว่าจะนำมาสวมใส่ หรือจะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ขยำเป็นก้อนๆ มาใส่ไว้ในรองเท้าอีกก็ได้ (หมึกของกระดาษหนังสือพิมพ์จะช่วยดูดกลิ่นและยังทำให้รองเท้าอยู่ทรงอีกด้วย)
  52. ช่วยแก้ปัญหากลิ่นในรถ และกลิ่นบุหรี่ในรถ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดานำมาโรยลงไปที่ก้นที่ใช้เขี่ยบุหรี่ในรถ เบกกิ้งโซดาจะช่วยดับกลิ่นได้ แต่ก็ต้องนำมันออกมาทำความสะอาดด้วยการเทขี้เถ้าทิ้ง แล้วให้โรยผงเบกกิ้งโซดาไว้ที่ถาดเสมอๆ
  53. ใช้ดับกลิ่นท่อและแก้ปัญหาท่อตัน ด้วยการเทเบกกิ้งโซดาลงไปในท่อประมาณ 1 ถ้วยก่อนแล้วให้ใส่เกลือแกงประมาณ 1/4 ถ้วยลงไป แล้วตามด้วยน้ำร้อน จะทำให้ท่อไม่ตันและปราศจากกลิ่น
  54. ใช้ดับกลิ่นอับในตู้เย็น ตู้กับข้าว ตู้รองเท้า ห้องทาสีใหม่ หรือใช้ในโรงงาน เพื่อขจัดกลิ่นสี กลิ่นสารระหาย กลิ่นน้ำยาต่างๆ ฯลฯ ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดานำมาเปิดฝากล่องด้านบนออกให้หมดหรือเทใส่ถ้วย แล้วนำมาทิ้งไว้ด้านในสุดของตู้เย็น (เปลี่ยนทุกๆ 3 เดือน) เบกกิ้งโซดาจะช่วยดูดกลิ่นอับในตู้เย็นได้ แต่ถ้าเป็นตู้กับข้าว ตู้รองเท้า ห้องทาสีใหม่ ฯลฯ ก็ให้เทใส่จานหรือถาดหรือนำไปโปรยในบริเวณที่มีกลิ่นเหม็นอับ (ปิดห้อง ปิดตู้ให้สนิทด้วยละครับ) แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้มันดูดกลิ่นประมาณ 1-2 วัน
  55. ใช้กำจัดกลิ่นเหม็นอับตกค้างบนไม้ถูพื้นหรือไม้กวาด ด้วยการนำไม้ถูพื้นมาแช่ในน้ำ 1 ถัง ที่ละลายกับผงฟู 4 ช้อนชา แต่ให้แช่หลังจากที่ทำความสะอาดสิ่งสกปรกออกไปแล้ว หลังแช่เสร็จให้นำมาตากให้แห้ง
  56. ใช้ดับกลิ่นแมว ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาเทลงไปใน Litter box หรือห้องน้ำของแมว ก่อนที่จะใส่ Litter หลังจากนั้นทุกครั้งที่จะทำความสะอาด Litter box พอตักอึแมวไปแล้วก็ให้เอาเบกกิ้งโซดาโรยนิดๆ ที่บ้านเพื่อเป็นการกลบกลิ่น
  57. ใช้ดับกลิ่นอับของเสื้อผ้า ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดาครึ่งถ้วยหรือประมาณ 8 ช้อนโต๊ะ นำมาผสมกับผงซักฟอกชนิดน้ำในปริมาณที่จะใช้ แทนที่เราจะใช้สารฟอกขาวชนิดคลอไรด์ 1 ถ้วยเต็มๆ แต่เราสามารถใช้เบกกิ้งโซดาเพียงครึ่งถ้วยเพื่อใช้แทนได้ แต่ถึงเบกกิ้งโซดาจะใช้ซักเสื้อได้ แต่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับผงซักฟอก เบกกิ้งโซดาจึงเป็นเพียงส่วนเสรมที่นำมาใช้ทำให้ผ้าสะอาดมากขึ้นเท่านั้น
  58. นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ภาชนะหรือกระเป๋าเดินทางของคุณมีกลิ่นเหม็นอับชื้นจากเชื้อรา ด้วยการโรยผงฟูลงบนภาชนะข้าวของเครื่องใช้ก่อนที่จะเก็บเข้าที่เข้าทางอย่างมิดชิด หรือจะใช้โรยลงในโถส้วม อ่างล้างจาน อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ หรือโรยบนฝักบัวทิ้งไว้หากเราจะหยุดใช้ชั่วคราวในกรณีที่ไปพักร้อน หรือจะใช้ขจัดกลิ่นเหม็นอับของผ้าห่ม ผ้านวม หลังจากที่เก็บไว้นานๆ ก็ให้โรยผงฟูลงบนผ้านั้นแล้วม้วนเก็บทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วค่อยสะบัดออก หรือจะนำมาใช้ขจัดกลิ่นตกค้างบนผ้าปูโต๊ะด้วยการนำมาผ้าปูโต๊ะมาแช่ในน้ำนะลายผงฟูก็ได้
  59. ใช้ทำเป็นน้ำยาซักผ้าขาว สูตรแรกให้ใส่ผงเบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วยลงในเครื่องซักผ้าพร้อมกับน้ำยาซักผ้า วิธีนี้จะช่วยทำให้ผ้าขาวและสีสดขึ้นได้ ส่วนสูตรที่สองให้ใช้ตอนซักผ้า โดยให้ใส่เบกกิ้งโซดา 1/2 ถ้วยลงไปในน้ำสุดท้ายที่กำลังจะล้างฟองออก ก็จะช่วยทำให้ผ้ามีกลิ่นสะอาดยิ่งขึ้น
  60. ใช้ล้างแปรงและหวี ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา นำมาผสมกับน้ำอุ่นในชามอ่างเล็กๆ แล้วนำแปรงหรือหวีมาแช่ทิ้งไว้ แล้วนำมาล้างอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยทำให้คราบต่างๆ ที่ติดอยู่ตามซอกหลุดออกมาได้โดยง่าย
  61. ใช้ทำความสะอาดที่ดัดฟัน (Retainers) ด้วยการใช้เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนชาผสมกับน้ำอุ่น 1 ถ้วยแล้วนำที่ดัดฟันมาแช่ทิ้งไว้สักพัก แล้วค่อยเอาแปรงขัดคราบออกอีกครั้งหนึ่ง
  62. ใช้ปรับสภาพของสระว่ายน้ำหรือตู้ปลาให้มีความเป็นกลาง เนื่องจากการเติมคลอรีนมากเกินไปและทำให้สระว่ายน้ำมีความเป็นกรดมากเกินไป
หมายเหตุ : เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) กับผงฟู (Baking Powder) แม้ว่าจะมีคุณสมบัติบางอย่างที่คล้ายกัน แต่บางครั้งมันก็เอามาใช้แทนกันไม่ได้นะครับ อันนี้ก็ต้องดูให้ดีๆ ก่อนครับ

Monday 8 September 2014

9 วิธีรวยได้ไม่ต้องรอถูกหวย

ถึงว่าทำไมยังเป็นหนี้และไม่รวยสักที
9วิธีรวยได้ไม่ต้องรอถูกหวย by โค้ชการเงิน โจ มณฑาณี ตันติสุข
1. กินอยู่ต่ำกว่าฐานะเสมอ กินหรูได้แต่แค่10%ของเงินเดือน (รายได้2หมื่น กินหรูได้2พัน)
2. ฝึกออมก่อน ที่เหลือค่อยใช้ ไม่ใช่ใช้ก่อนที่เหลือค่อยออม (เริ่มออมจาก20%ของรายได้ทั้งหมด)
3. แยกแยะระหว่าง "อยากได้" กับ "จำเป็น" ใช้ฟุ่มเฟือยได้ แต่แค่10%
(ไม่มีบัตรเครดิตไม่ต้องดิ้นรนมี อย่าไปหลงกะดอก0%ถ้าคุณไม่มีวินัยผิดนัดครั้งเดียวโดน28% มักมีกลลวงคือ งวดสุดท้ายให้จ่ายเร็วขึ้นกว่าปกติ เช่น ปกติเราจ่ายเงินอัตโนมัติวันที่31 งวดสุดท้ายดันให้จ่ายวันที่26 อันนี้ที่ไทยยังไม่มีกม.ควบคุม ที่เมืองนอกติดคุกและยึดใบอนุญาตประกอบกิจการ)
4. ฝึกนิสัยใช้จ่ายที่ดี มีเงินสดค่อยซื้อ ทำงบประมาณทุกอย่างเสมอ
(การทำบัญชีค่าใช้จ่าย จะรู้ว่าเราฟุ่มเฟือยตรงไหน บางทีของแพงแล้วใช้คุ้มค่าหลายสิบปีก็มี อย่าหลงคำว่าsale ของถูกซื้อมาแล้วใช้ได้ไม่กี่ครั้งก็ไม่คุ้ม ให้ใช้สติในการเปรียบเทียบ นึกถึงความจำเป็นที่จะใช้ แต่ถ้าจะซื้อของแพงก็ให้กลับไปอ่านข้อ 1 2 3 ใหม่)
5. ภาระเยอะ แทนที่จะหาทาง"เพิ่มรายได้"ให้"ลดรายจ่าย"ก่อน
กฎการเงินของพาร์คินสัน "รายได้เพิ่มเท่าไหร่ รายจ่ายจะเพิ่มตามมา"
ตำแหน่งสูงขึ้น โสหุ้ยจะตามมา
ทางแก้คือ "ลดรายจ่าย"
ต้องตัดรายจ่ายตรงไหนก่อน ให้ทำบันทึกการเงิน แล้วจะเห็นพฤติกรรมการเงินของเราว่าฟุ่มเฟือยตรงไหน ก็ให้ตัดตรงนั้น
อาหารการกิน เป็นเรื่องที่ตัดได้อันดับแรก กินน้อยลง ผอมลง สุขภาพดีขึ้น
6. รับรู้สถานการณ์การเงินของเราอย่างดี 
หมั่นปรับสมุดบัญชีเงินฝาก เก็บใบแจ้งหนี้ จดยอดชำระหนี้
7. เลิกนิสัยก่อหนี้อย่างเด็ดขาด
หนี้มี2แบบ
หนี้ดี: หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น หนี้ กยส., หนี้ที่เป็นทรัพย์สินเพิ่มค่า เช่น บ้าน
หนี้เลว: ทรัพย์สินเสื่อมค่า เช่น รถยนต์ บัตรเครดิต
(ให้ตั้งเป้าวางแผนปลดหนี้อย่างมีเป้าหมาย "หนี้ต้องชำระด้วยรายได้ ไม่ใช่ชำระด้วยหนี้ เช่น เอาบัตรเครดิตนึงไปชำระอีกบัตรนึง)
8. เลิกพึ่งพาคนอื่นทางการเงิน
พึ่งหวย พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พึ่งมรดก 
9. ทำบันทึกการเงินตั้งแต่วันนี้
จะพบว่ารายได้ลบรายจ่ายแล้วเป็นตัวดำหรือตัวแดง เวลาผ่านไปจะเป็นประวัติรายได้ ประวัติรายจ่าย แล้วเราจะเห็นภาพรวมและวางแผนในการลดค่าใช้จ่ายต่อไปได้ เช่น เจอว่าค่าใช้จ่ายที่ซุปเปอร์มารเก็ตเยอะ ซื้ออาหารมาใส่เต็มตู้เย็นแต่ไม่มีเวลากิน เสีย หมดอายุ ก็ต้องทิ้ง ให้ซื้อแต่ที่จำเป็น, ใช้จ่ายค่าทางด่วนเยอะเกิน ให้ตื่นเช้าขึ้นไปทางธรรมดา, ใช้จ่ายค่าน้ำมันเยอะขึ้น บางทีรถอาจมีปัญหาก็ได้ ให้เอารถไปเช็คสภาพ เป็นต้น
Credit: รายการโฮมรูม Thaipbs

Sunday 24 August 2014

21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด

น้ำจิ้ม ถือเป็นเครื่องจิ้ม เครื่องปรุงรสที่ทำให้อาหารมีรสชาติที่อร่อยมากขึ้น แถมอาหารบางอย่างก็ไม่สามารถยกไปเสิร์ฟได้เลยถ้าไม่มีน้ำจิ้ม แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า น้ำจิ้มแต่ละถ้วยมีส่วนผสมอะไรบ้าง

          ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ก็ยังไล่เรียงชื่อน้ำจิ้มแต่ละถ้วยไม่หมดสักที มีหลายชนิดซะเหลือเกิน เลือกกินเลือกจิ้มคู่กับอาหารได้มากมายทั้งคาว-หวาน โดยเฉพาะคนไทย น้ำจิ้มถือเป็นเครื่องเคียงที่ขาดไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะกินอาหารเมนูไหน ๆ ก็มักจะมีน้ำจิ้มแซมมาให้เห็นอยู่เสมอ แต่ทว่า น้ำจิ้มแต่ละสูตรก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างกันไป ส่วนผสมก็แตกต่างกัน แล้วเราจะรู้ได้อดย่างไรว่า น้ำจิ้มยอดฮิตที่เราชอบกินกันนั้นมีวิธีทำอย่างไรบ้าง วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็ได้รวบรวมสูตรน้ำจิ้ม และวิธีทำน้ำจิ้มยอดฮิตมาฝากถึง 21 สูตรน้ำจิ้มด้วยกัน ชอบสูตรไหนก็เลือกจิ้มกันได้ตามใจชอบเลยจ้า



 1. น้ำจิ้มสุกี้
         
          ถ้าวันไหนครอบครัวของคุณเกิดอยากจะจัดปาร์ตี้สุกี้ขึ้นมา แล้วกลัวว่า น้ำจิ้มที่ซื้อมาจะไม่พอ ก็มาทำกินเองซะเลยดีกว่า ได้ทีเดียวหม้อเบ้อเริ่ม เป็นน้ำจิ้มสุกี้สูตรมาจาก คุณ Mr Trin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

 สิ่งที่ต้องเตรียม
         
           ซอสพริก 1 ขวดใหญ่

           น้ำส้มสายชู 3 ทัพพี

           ซอสมะเขือเทศ 1 ทัพพี

           ซีอิ๊วขาว 3 ทัพพี

           ซอสหอยนางรม 1 ทัพพี

           กระเทียมดอง 2 ทัพพี

           น้ำตาลทราย 3 ทัพพี

           พริกชีฟ้าแดง 9 เม็ด

           กระเทียม 6 กลีบ

           เต้าหู้ยี้ 4 ชิ้น

           งาขาวคั่ว บดพอหยาบ 1 กำมือ

           น้ำมันงา 2 ทัพพี

           ผักชี และผักชีฝรั่งซอย

 วิธีทำ
         
           1. ใส่ซอสพริกลงในกระทะ ตามด้วยน้ำส้มสายชู ซอสมะเขือเทศ ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำกระเทียมดอง และน้ำตาลทราย คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
         
           2. โขลกพริกชี้ฟ้าแดงกับกระเทียมให้เข้ากันจนแหลก ใส่เต้าหู้ยี้พร้อมน้ำลงไป บดทุกอย่างจนเข้ากัน จากนั้นตักใส่ในกระทะที่มีซอสพริก
         
           3. คนส่วนผสมในกระทะเข้าด้วยกัน นำขึ้นตั้งไฟอ่อนคนผสมจนเดือด ปิดไฟ
         
           4. ใส่งาขาวคั่วบดลงไป ตามด้วยน้ำมันงา ค่อย ๆ คนผสมเข้าด้วยกัน ใส่ผักชีและผักชีฝรั่งซอย คนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้กินกับสุกี้




 2. น้ำจิ้มซีฟู้ด
         
          อีกหนึ่งสูตรน้ำจิ้มที่ใคร ๆ ก็อยากจะมีไว้ในครอบครอง เพราะน้ำจิ้มซีฟู้ดสามารถนำไปจิ้มกินกับอาหารได้หลายอย่าง แต่ที่นิยมก็คงจะเป็นอาหารทะเล ย่างสด ๆ ร้อน ๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดเด็ด ๆ แบบนี้ อร่อยเด็ด !

 ส่วนผสม
         
           พริกขี้หนูสวน 20 เม็ด

           พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ 20 เม็ด

           กระเทียมไทยแกะเปลือก 1/2 ถ้วย

           รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ

           เกลือ 4 ช้อนชา

           น้ำตาลทราย 7 ช้อนชา

           น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย

           น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย

 วิธีทำ
         
           1. ใส่พริกขี้หนูทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ตามด้วยกระเทียม รากผักชี เกลือ น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว ปั่นให้เข้ากันพอหยาบ
         
           2. ใส่น้ำต้มสุกลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 3. น้ำจิ้มหมูกระทะ
         
          คงจะมีหลายบ้านหลายครอบครัวที่ชอบทำหมูกระทะกินกันเอง สนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้กันไป นอกจากจะหมักหมู และเครื่องต่าง ๆ ให้อร่อยแล้ว หัวใจหลักสำคัญของอาหารปิ้งย่างก็ต้องอยู่ที่น้ำจิ้มด้วย ไปซื้อแบบสำเร็จมากินก็ไม่ถูกปาก ลองมาทำกินเองดีกว่าตามสูตรที่เรานำมาฝากนี้เลย รับรองว่า อร่อยจ้า

 ส่วนผสม
         
           ซอสมะเขือเทศ 1 ถ้วย

           ซอสพริก 3/4 ถ้วย

           ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วย

           เต้าหู้ยี้ บดพอหยาบ 1 ก้อน

           น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ

           พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา

           ผงพะโล้ 1/2 ช้อนชา

           งาขาวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ

 วิธีทำ
         
           1. ใส่ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซีอิ๊วขาว และเต้าหู้ยี้ ลงในหม้อคนผสมให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟปานกลาง คนผสมตลอดเวลาจนเดือด
         
           2. ใส่น้ำมันงา พริกไทย ผงพะโล้ และงาขาวคั่วครึ่งหนึ่งลงไป คนผสมจนเดือดอีกครั้ง ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย โรยงาขาวคั่ว พร้อมเสิร์ฟ




 4. น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
         
          เมนูหมูสะเต๊ะถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่มีเสน่ห์อยู่ที่น้ำจิ้ม เนื้อสัตว์หมักเครื่องเทศย่าง กินคู่กับน้ำจิ้มสะเต๊ะผัดหอม ๆ รสหวานกลมกล่อม  ๆ ยิ่งได้กินคู่กับน้ำจิ้มอาจาดยิ่งอร่อยครบรสขึ้นไปอีกว่าแล้วก็มาจดสูตรน้ำจิ้มสะเต๊ะไปลองทำกันเลยจ้า

 ส่วนผสม
         
           กะทิ 2 ถ้วย

           ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/2 ถ้วย

           น้ำพริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ

           น้ำตาลทรายปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ

           น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ

           เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

 วิธีทำ
         
           1. ใส่กะทิ 1 ถ้วย ลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนกะทิแตกมัน ใส่น้ำพริกแกงและถั่วลิสงคั่วบดลงผัดให้เข้ากัน เติมกะทิที่เหลือ คนผสมให้เข้ากัน ลดไฟลง หมั่นคนตลอดเวลา
         
           2. ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และเกลือ เคี่ยวจนข้น และมีน้ำมันลอยหน้า ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 5. น้ำจิ้มอาจาด
         
          ในเมื่อมีน้ำจิ้มสะเต๊ะอร่อย ๆ แล้ว ก็ต้องมาคู่กับน้ำจิ้มอาจาด เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เสิร์ฟมาพร้อมกันด้วย น้ำจิ้มอาจาดไม่ใช่แค่กินกับเมนูสะเต๊ะได้อย่างเดียวเท่านั้น ยังสามารถนำไปกินกับพวกทอดมัน ขนมปังหน้าหมู หรืออาหารทอด ๆ อย่างอื่นได้อีกด้วย

 ส่วนผสม
         
           น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย

           เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

           แตงกวาซอย

           หอมแดงซอย

           พริกชี้ฟ้าแดงเม็ดใหญ่ซอย

 วิธีทำ
         
           1. ใส่น้ำส้มสายชูและน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
           2. เวลาเสิร์ฟ ตักอาจาดใส่ถ้วย ตามด้วยแตงกวาซอย หอมแดงซอย และพริกชี้ฟ้าแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ




 6. น้ำจิ้มแจ่ว
         
          เชื่อเลยว่า น้ำจิ้มแจ่วสไตล์อีสานเป็นอีกหนึ่งน้ำจิ้มที่หลายคนชอบ แต่ไม่รู้ว่า ถ้าทำกินเอง จะอร่อยเหมือนที่แถมมาจากร้านหรือเปล่า รับรองว่าสูตรน้ำจิ้มแจ่วด้านล่างนี้ อร่อยเป๊ะ ! เป็นสูตรมาจาก คุณเนินน้ำ

 ส่วนผสม
         
           น้ำมะขามเปียก 50 กรัม

           น้ำอุ่น 1 ถ้วย

           น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ

           น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

           พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ

           ข้าวคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ

           ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนโต๊ะ

           หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ

 วิธีทำ
         
           1. แช่มะขามเปียกในน้ำอุ่นพอนุ่ม คั้นแล้วกรองเอาแต่น้ำ เตรียมไว้
         
           2. ผสมน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาเข้าด้วยกันในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนเหนียว เติมพริกป่น ข้าวคั่วป่น คนพอเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนอุ่น
         
           3. ตักใส่ถ้วยโรยด้วยผักชีฝรั่งซอย และหอมแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ



 7. น้ำจิ้มลูกชิ้น
         
          เวลาซื้อลูกชิ้นสุดโปรดแบบเป็นกิโล ๆ มากิน ถึงแม้ว่าเนื้อลูกชิ้นจะอร่อยนุ่มนิ่มขนาดไหน แต่ถ้านำมาจิ้มกินกับน้ำจิ้มไก่สำเร็จรูปธรรมดา ๆ ก็หมดราคากันพอดี แบบนี้ก็ต้องทำน้ำจิ้มลูกชิ้นไว้กินเองได้แล้ว

 ส่วนผสม
         
           พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 20 เม็ด

           กระเทียมไทยแกะเปลือก 3 ช้อนโต๊ะ

           กระเทียมดอง 3 หัว

           น้ำ 1 ถ้วย

           น้ำมะขามเปียก 1 1/4 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วย

           เกลือสมุทร 1 1/2 ช้อนโต๊ะ

 วิธีทำ
         
           1. ใส่พริกแห้ง กระเทียม กระเทียมดอง และน้ำลงในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้
         
           2. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลทราย และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่ปั่นไว้ลงไป เคี่ยวจนข้นเหนียว ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 8. น้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวาน
         
          พอถึงหน้าสะเดาออกดอก วัยรุ่นเก๋า ๆ หน่อยก็จะปลื้มปริ่ม เพราะจะได้ซื้อสะเดามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวาน แต่ถ้าเป็นวัยว้าวุ้นก็คงจะร้องยี้ให้กับความขมปี๋ของสะเดา แต่พอเอามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวานก็ช่วยลดความขมลงไปได้เยอะ แถมเข้ากันดีอย่าบอกใครเชียว ถ้าที่บ้านไหนได้รับสะเดามาเป็นของฝากหน้าหนาว ก็ลองมาทำน้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวานกินกันเองเลยดีกว่า

 ส่วนผสม
         
           น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย

           น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วย

           น้ำปลา 1/4 ถ้วย

           หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย

           หอมแดงเจียว

           พริกขี้หนูแห้งทอด

 วิธีทำ
         
           1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้พออุ่น
         
           2. ใส่หอมแดงซอย คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย โรยหอมแดงเจียว และพริกขี้หนูแห้งทอด พร้อมเสิร์ฟ




 9. น้ำจิ้มข้าวมันไก่
         
          ข้าวมันไก่หลากหลายสูตร จะเจ้าดัง ๆ หรือไม่ดัง ก็ต้องยอมรับเลยว่า ทีเด็ดดความอร่อยนั้นอยู่ที่น้ำจิ้ม ถ้าน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อยก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ถ้าคุณอยากจะลองทำข้าวมันไก่พร้อมน้ำจิ้มกินเอง จะไปกลัวอะไร เพราะเรามีสูตรน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อย ๆ มาฝากแล้ว

 ส่วนผสม
         
           เต้าเจี้ยว บดพอหยาบ 3 ช้อนโต๊ะ

           ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา

           น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

           เกลือป่น สำหรับปรุงรส

           น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ

           ขิงอ่อนสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

           พริกขี้หนูแดงสับละเอียด

 วิธีทำ
         
           1. ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน คนผสมจนละลายเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ





 10. น้ำจิ้มข้าวหมกไก่ (น้ำจิ้มสะระแหน่)
         
          หลายคนเรียกน้ำจิ้มชนิดว่า น้ำจิ้มข้าวหมกไก่กันจนติดปาก และอาจจะนึกไปว่าทำมาจากพริกขี้หนูเขียวผสมกับใบโหระพาหรือผักชี แต่จริง ๆ แล้วเป็นน้ำจิ้มที่ผสมใบสะระแหน่ เลยทำให้น้ำจิ้มข้าวหมกไก่มีกลิ่นหอมเย็น ๆ ซึ่งสูตรนี้เป็นสูตรมาจาก คุณบ่งบ๊ง ที่นำเสนอไว้ในวิธีทำข้าวหมกไก่ แถมน้ำจิ้มข้าวหมกไก่สูตรนี้ยังสามารถนำไปกินกับก๋วยเตี๋ยวลุยสวนได้อีกด้วยนะคะ

 ส่วนผสม
         
           น้ำส้มสายชู

           น้ำตาลทราย

           กระเทียมกลีบเล็ก 20 กลีบ

           พริกชี้ฟ้าเขียว หรือพริกขี้หนูเขียว

           ผักชีไทย

           ใบสะระแหน่

           เกลือป่น

           นมเปรี้ยว (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

 วิธีทำ
         
           1. ใส่น้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย พักไว้จนเย็น
         
           2. ใส่กระเทียม พริก ผักชีไทย และใบสะระแหน่ลงในเครื่องปั่น ปั่นผสมให้ละเอียด เทใส่ลงในส่วนผสมน้ำส้มสายชู เติมเกลือป่น ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 11. น้ำจิ้มหอยทอด
         
          หอยทอดก็เป็นอาหารจานเดียวอีกหนึ่งเมนูที่คนนิยมทำกินกันเองที่บ้าน เพราะวิธีทำไม่ได้ยากจนเกินไป แน่นอนว่า หอยทอดจะอร่อยได้ครบรสนั้น ต้องมีน้ำจิ้มหอยทอดอร่อย ๆ เคียงคู่กันมาด้วย ไหน ๆ ก็ทำหอยทอดกินเองแล้ว ก็ทำน้ำจิ้มหอยทอดกินเองไปด้วยเลยน่าจะดีนะคะ

 ส่วนผสม
         
           พริกชี้ฟ้าแดงโขลกละเอียด 2 เม็ด

           น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

           เกลือสมุทร 1 ช้อนชา

           น้ำส้มสายชู 3/4 ถ้วย+2 ช้อนโต๊ะ

           ซอสพริก 1/2 ถ้วย

 วิธีทำ
         
           1. ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำส้มสายชูลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนส่วนผสมข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
           2. ใส่พริกชี้ฟ้าโขลกละเอียด และซอสพริก ลงไปคนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 12. น้ำจิ้มข้าวขาหมู
         
          ข้าวขาหมู ถ้าให้กินแบบไม่มีน้ำจิ้มก็คงจะเลี่ยนไปหน่อย ใครที่ทำข้าวขาหมูเป็นแล้วก็ลองมาทำน้ำจิ้มข้าวขาหมูรสเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ กินแก้เลี่ยนควบคู่กันไปด้วย

 ส่วนผสม
         
           พริกชี้ฟ้าเหลือง 10 เม็ด

           กระเทียมไทย 20 กลีบ

           รากผักชี 3 ราก

           เกลือสมุทร 2 ช้อนชา

           น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

 วิธีทำ
         
           1. โขลกพริกชี้ฟ้าเหลือง กระเทียม รากผักชี และเกลือเข้าด้วยกันพอหยาบ
         
           2. เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงไป คนให้น้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 13. น้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลา (สูตรโบราณ)
         
          ถึงเวลาไหว้เจ้าทีไร ก็จะได้กินไก่ต้มน้ำปลา หรือไก้ต้มถาดเบ้อเริ่ม แต่ถ้ากินแบบไร้น้ำจิ้มแซ่บ ๆ คงจะจืดชืดไร้รสชาติ มาทำน้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลากินเองซะเลยดีกว่า เตรียมไว้เวลาไหว้เจ้าปีหน้า จะได้พร้อมแซ่บ !

 ส่วนผสม
         
           พริกขี้หนู ปริมาณตามชอบ

           กระเทียม 5 กลีบ

           เกลือป่น สำหรับปรุงรส

           น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย

           น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา

 วิธีทำ
         
           1. โขลกพริกขี้หนู กระเทียม และเกลือป่นพอหยาบ เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลปี๊บลงไป คนผสมให้ละลายเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมไก่ต้มน้ำปลา




 14. น้ำจิ้มขนมจีบ
         
          ใครที่ชอบกินขนมจีบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดันไม่ชอบกินคู่กับซอสเปรี้ยวหรือน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่เหม็น ๆ ก็ลองมาทำน้ำจิ้มขนมจีบสูตรนี้ เตรียมไว้กินกับขนมจีบดู ถึงจะมีจิ๊กโฉ่ผสมอยู่ด้วย แต่รสชาติกลมกล่อม เปรี้ยวอมหวาน อร่อยแน่นอน

 ส่วนผสม
         
           พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด

           กระเทียมไทย 2 ช้อนโต๊ะ

           น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

           ซอสเปรี้ยว (จิ๊กโฉ่) 2 ช้อนโต๊ะ

           เกลือ 1 ช้อนชา

 วิธีทำ
         
           1. โขลกพริกชี้ฟ้ากับกระเทียมเข้าด้วยกันจนละเอียด เตรียมไว้
         
           2. ใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย จิ๊กโฉ่ และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย ใส่เครื่องที่โขลกไว้ คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ



21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต รสเด็ดและดีแบบนี้ไม่ควรพลาด
น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม


 15. น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม
         
          เวลากินอาหารประเภทลวกจิ้ม เราก็จะได้เห็นน้ำจิ้มเต้าเจี๊ยวเสิร์ฟมาเคียงคู่อยู่เสมอ กินคู่กันได้ความอร่อยที่เข้ากันดีมาก รสชาติไม่เผ็ดจนเกินไป แถมยังดับกลิ่นคาวของปลา หรืออาหารทะเลได้หมดจดอีกด้วย

 ส่วนผสม
         
           เต้าเจี้ยวดำ บดพอหยาบ 1/3 ถ้วย

           ขิงแก่โขลกละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ

           พริกขี้หนูสีเขียว-แดงสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ

           น้ำต้มสุก 1/4 ถ้วย

           น้ำมะนาว 1/4 ถ้วย

           น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนชา

 วิธีทำ
         
           1. ใส่เต้าเจี้ยวดำบดลงในอ่างผสม ใส่ขิง พริกขี้หนู และน้ำต้มสุก คนผสมให้เข้ากัน
         
           2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว และน้ำตาลทราย คนผสมจนน้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 16. น้ำจิ้มเต้าหู้ทอด
         
          น้ำจิ้มเต้าหู้ทอดที่นอกจากจะไว้กินกับเต้าหู้ทอดได้แล้ว ยังสามารถไว้กินกับอาหารทอดเพื่อนซี้อย่าง เผือดทอด มันทอด และข้าวโพดดทอดได้อีกด้วย

 ส่วนผสม
         
           น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย

           น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย

           เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ

           ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/4 ถ้วย

           พริกป่น ปริมาณตามชอบ

 วิธีทำ
         
           1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และเกลือป่นลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนส่วนผสมเดือด และข้น ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้
         
           2. ตักส่วนผสมใส่ถ้วย เติมพริกป่น และถั่วลิสงคั่วบดหยาบ คนผสมให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ




 17. น้ำจิ้มยำมะม่วง
         
          เวลาที่สั่งปลาแดดเดียวทอด ปลาทอดน้ำปลา ยำปลาดุกฟู ก็จะเห็นน้ำจิ้มยำมะม่วงถ้วยนี้เสิร์ฟมาเพิ่มรสชาติความแซ่บอยู่ด้วยเสมอ มีมะม่วงเปรี้ยวขูดเป็นเส้น ๆ เพิ่มความเปรี้ยวแซ่บขึ้นไปอีก

 ส่วนผสม
         
           น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ

           น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

           พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามความชอบ

           น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ

           มะม่วงดิบสับเป็นเส้น

           หัวหอมแดงซอย

           เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ ตามชอบ)

           ใบขึ้นฉ่ายหั่นท่อน

  วิธีทำ

           1. ใส่น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
           2. เติมน้ำมะนาวลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย ใส่พริกขี้หนูซอยมะม่วงสับ หอมแดงซอย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ และใบขึ้นฉ่าย พร้อมเสิร์ฟ




 18. น้ำจิ้มเทมปุระ
         
          อาหารญี่ปุ่นแบบทอดพวกเทมปุระ นอกจากจะมีความอร่อยกรุบกรอบของตัวอาหารเองแล้ว อย่าลืมนะคะว่า น้ำจิ้มเทมปุระก็ถือเป็นหัวใจหลักสำคัญเช่นเดียวกัน ที่จะทำให้เทมปุระของคุณครบเครื่องความอร่อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มเทมปุระตำรับญี่ปุ่นแท้ ๆ มีทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุปดาชิ หรือน้ำซุปปลาโอแห้ง ที่จะทำให้น้ำจิ้มถ้วยนี้ของคุณ แตะความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ มากขึ้น มาดูวิธีทำกันเลยดีกว่า

 ส่วนผสม
         
           น้ำซุปดาชิ 1/2 ถ้วย (น้ำซุปปลา)

           ซีอิ๊วญี่ปุ่น (โชยุ) 1/3 ถ้วย

           เหล้ามิริน หรือสาเก 1/3 ถ้วย

           ขิงและหัวไช้เท้าขูดละเอียดปริมาณตามชอบ

 ส่วนผสม น้ำซุปดาชิ

           น้ำ 3 ถ้วย

           สาหร่ายคอมบุ (เช็ดให้สะอาด) 2 ชิ้น

           ปลาโอขูดแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ

          หมายเหตุ : ถ้าไม่สะดวกให้ใช้ผงฮอนดาดชิสำเร็จรูปผสมกับน้ำแทน

 วิธีทำ

           1. ทำน้ำซุปดาชิ โดยใส่น้ำลงในหม้อ ใส่สาหร่ายคมบุลงต้มด้วยไฟอ่อนจนสาหร่ายพองเต็มที่ (ประมาณ 30 นาที) ตักสาหร่ายออก
         
           2. ใส่ปลาโอขูดแห้งลงต้มด้วยไฟแรงจนเดือดอีกครั้ง ช้อนเอาฟองอากาศออก ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที จนเนื้อปลาจมลงด้านล่าง จากนั้นกรองเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
         
           3. ใส่น้ำซุปดาชิ ซีอิ๊วญี่ปุ่น และมิรินลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง ต้มจนเดือด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมกับกับขิงและหัวไช้เท้าขูด




 19. น้ำจิ้มเมี่ยงคำ
         
          อาหารว่างแบบไทย ๆ อย่างเมี่ยงคำ ทีเด็ดก็อยู่ที่น้ำจิ้มเมี่ยงคำ หวาน ๆ เค็ม ๆ ตักราดบนเครื่องเคียงเคี้ยวกันตำโต ๆ กินอิ่มกินเพลินกันได้ทั้งครอบครัว อร่อยครบเครื่อง แถมยังมีประโยชน์ด้วย วันหยุดนี้ใครอยากจะลองทำเมี่ยงคำกินกันก็ลองมาดูสูตรน้ำจิ้มเมี่ยงคำกันทางนี้เลย

 ส่วนผสม
         
           ข่าหั่นเป็นแว่น 5 ชิ้น

           ตะไคร้ซอยบาง 1 ต้น

           กะปิอย่างดี 2 ช้อนชา

           น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย

           กุ้งแห้งโขลกละเอียด

           ถั่วลิสงโขลกละเอียด

           มะพร้าวคั่วโขลกละเอียด

 วิธีทำ
         
           1. โขลกข่ากับตะไคร้ให้ละเอียด ใส่กะปิลงโขลกผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
         
           2. ใส่น้ำ และน้ำตาลปี๊บลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่โขลกไว้คนผสมให้เข้ากัน เคี่ยวจนส่วนผสมเหนียวและข้น ยกลงจากเตา พักไว้พออุ่น
         
           3. ใส่กุ้งแห้งโขลก ถั่วลิสงโขลก และมะพร้าวคั่วโขลกลงคนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ




 20. น้ำปลาหวาน
         
          ถ้าพูดถึงมะม่วงเปรี้ยว ๆ ก็ต้องนึกถึงน้ำปลาหวาน ยังไงซะก็ต้องมาคู่กัน จิ้มกินกันเพลิน ๆ อร่อยสะใจดีจริง ๆ ถ้าวันไหนเกิดเปรี้ยวปาก อยากกินมะม่วงน้ำปลาหวานขึ้นมา ก็มาดูวิธีทำน้ำปลาหวานกันทางนี้ ทำใส่โหล แช่เก็บไว้ในตู้เย็นได้เป็นเดือน ๆ เลยนะจ๊ะ อยากจะกินตอนไหนก็จัดไปเลย

 ส่วนผสม
           
           น้ำตาลปี๊บ 200 กรัม

           กะปิอย่างดี 1 ช้อนชา

           น้ำปลาอย่างดี 4 ช้อนโต๊ะ

           กุ้งแห้งตำพอหยาบ  ¼ ถ้วยตวง

           หอมแดงซอยบาง  5 หัว

           พริกขี้หนูสวนซอย ปริมาณตามชอบ

 วิธีทำ
           
           1. ใส่น้ำตาลปี๊บ กะปิ และน้ำปลา ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนน้ำตาลปี๊บละลาย
           
           2. ใส่กุ้งแห้ง หอมแดงซอย และพริกขี้หนูซอย เคี่ยวจนน้ำปลาหวานมีลักษณะใสขึ้น ปิดไฟ ยกลง ทิ้งไว้สักพักให้ฟองหายไป
           
           3. ตักใส่ถ้วย โรยด้วยหัวหอมซอย และพริกขี้หนูซอยเล็กน้อย พร้อมเสิร์ฟ




 21. กะปิหวาน
         
          เวลาได้มะม่วงเปรี้ยวจี๊ดมาสักหนึ่งลูก นอกจากน้ำปลาหวานคู่ชีพแล้วจะมีอะไรเด็ดไปกว่า กะปิหวาน นึกถึงก็น้ำลายสอข้างปาก แผล่บ ! ลองมาดูวิธีทำกะปิหวานรสเด็ดที่ว่านี้กันเลยดีกว่า

 ส่วนผสม
         
           กะปิอย่างดี 5 ช้อนโต๊ะ

           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

           น้ำ 1/4 ถ้วย

           หอมแดงซอย

           พริกขี้หนูซอย ปริมาณตามชอบ

 วิธีทำ
         
           1. ใส่กะปิ น้ำตาลทราย และน้ำ ลงในหม้อ นำขึ้นตั้งบนไฟกลาง เคี่ยวจนข้นเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
         
           2. ใส่หอมแดง และพริกขี้หนูซอยลงไป คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ

Friday 15 August 2014

ปลอดภัยจากสิ่งใกล้ตัว

แอดมินขอเตือนภัยระวัง! 15 อาหารใกล้ตัว: ไม่ให้ประโยชน์ ยังอาจแถมโทษตามมาเวลาสมาชิกทานก็ต้องระวังกันให้มากหน่อยนะค่ะทานได้แต่น้อยไม่ควรทานบ่อยหรือไม่ควรรับประทานเลยนะค่ะเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเองค่ะ....
มีเกร็ดต่างๆ มาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับอาหารใกล้ตัวเราทุกวันนี้ ที่ล้วนแต่มีประโยชน์น้อย แถมมีโทษ.. ถ้าเจอแจ๊ตพอต อาจป่วย ไม่คุ้มกันหากยังใส่ใจกับสุขภาพของตัวคุณเอง ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะผลที่ตามมานั้นอันตรายเกินกว่าที่หลายคนจะระวังตัวเลยทีเดียว
1. ขนมปังปี๊บ วางขายทั่วไปตั้งแต่ร้านโชห่วยจนถึงซูเปอร์สโตร์เลยทีเดียว หลายคนชะล่าใจว่าวางขายในห้างแล้วจะปลอดภัยกว่าร้านขายของชำ จะบอกว่าวางขายที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น เพราะกระบวนการผลิตขนมปังบรรจุปี๊บบางแห่งไม่มีคุณภาพ แถมบางรสอย่างเช่น ไส้สับปะรด แท้จริงแล้วผู้ผลิตบางเจ้าใช้มันแกวหรือพืชอื่นๆ กวนใส่น้ำตาลแทนสัปปะรดจริง แล้วใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย เพื่อลดต้นทุนอย่างน่าเกลียด
2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด เชอรี่สีแดงสีเขียว วางประดับเหนือครีมสีขาวบนขนมเค้ก เราเห็นทั่วไปตั้งแต่ร้านเบเกอรี่จนถึงร้านขายของชำที่ชอบรับมาขายจากแหล่ง ที่บางครั้งก็ไม่ระบุที่มา หากเป็นเชอรี่เชื่อมของจริงผลจะมีสีแดงเข้ม รสชาดหวานอมเปรี้ยวจากผลไม้แท้ๆ แต่บางเจ้ากลับนำมะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น แล้วย้อมสีแดง ซึ่งก็คือผงฟอกสีทำให้เกิดภาวะเสื่อมในไตขนมหวานของหวานบางอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่ายังจะใช้สารฟอกสีไปทำไม แต่ก็ใช้ไปแล้ว ก็อย่างเช่น มะม่วงกวน (แผ่นใสๆ) หรือยอดมะพร้าวขาวๆ ฉะนั้นต้องดูให้ดี
3. ซูชิในตลาดนัด อาหารพื้นๆ สัญชาติญี่ปุ่น แต่ดันมาขายดิบขายดีในเมืองไทย และเมื่อแพร่ขยายมาถึงตลาดนัด ซึ่งผู้ขายจะนำมาจากแหล่งผลิตใด วัตถุดิบคืออะไร ก็ไม่มีใครทราบ แต่พอถึงเวลาขายก็เอาออกจากกล่องพลาสติกมาวางกลางอากาศร้อนๆ แถมในตลาดนัดรู้กันอยู่ว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค เมื่อของสดบวกกับความร้อนและเชื้อแบคทีเรียในอากาศ ผู้ที่ซื้อไปรับประทานก็จะมีอาการท้องร่วงท้องเสียตามมา
4. เอแคลร์-ลูกชุบ หรือขนมอะไรที่ต้องมีการปั้นๆ ถูๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย รวมถึงสีที่ใช้ซึ่งหลายเจ้าไม่ได้ใช้สีผสมอาหาร ใครทานเข้าไปก็เตรียมใจรับสารตะกั่ว ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงเท่านั้น
5. ลูกอมสีประหลาด ขึ้นชื่อว่าลูกอมก็ไม่ใช่ของที่น่ารับประทาน เพราะรู้กันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าทานมากก็ทำให้ฟันผุและมีน้ำตาลสูง แต่ถ้าเจอลูกอมสีแปลกๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง สีจัดๆ สีเหล่านี้พ่อค้าแม่ค้าชอบนำมาขายเพราะเก็บไว้นาน สีไม่ซีด แต่อันตรายจากสีในลูกอมนั้นเต็มไปด้วยสารตะกั่วและโลหะหนัก ....แต่ทางที่ดีที่สุด หลีกเลี่ยงลูกอมทุกสี ทุกรส เพือ่สุขภาพที่ดีของปากและฟันเป็นดีที่สุด
6. อาหารทะเลปลายฤดูร้อน ผู้หลักผู้ใหญ่เคยบอกไว้ว่าช่วงปลายหน้าร้อนเข้าหน้าฝนอย่าหาของทะเลกิน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะสภาพอากาศที่มีฝนแรกตกชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเล ซึ่งสัตว์ทะเลจะกินฝุ่นดินนี้เข้าไป ก็จะทำให้มีเชื้อไวรัส แบคทีเรีย มากกว่าปากติ ฉะนั้นโอกาสท้องเสียจึงมีสูง หากจะทานก็ควรล้างน้ำเกลือให้สะอาด เพื่อชะล้างฝุ่นดินโคลนออกเสีย
7.อาหารสำเร็จรูปไมโครเวฟ อาหารแพ็คสำเร็จรูปเดี๋ยวนี้มีวางขายหลากหลายยี่ห้อ ตอบสนองพฤติกรรมการกินของคนรุ่นใหม่ที่รีบเร่งและเน้นสะดวก หลายคนยังมีแก่ใจห่วงใยสิ่งแวดล้อม ยอมเอาบรรจุภัณฑ์พลาสติกใส่อาหารล้างสะอาดเก็บไว้ใช้ต่อ แต่พลาสติกชนิดนี้ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนำกลับเข้าไมโครเวฟมากกว่า 1 ครั้ง เพราะเคมีในพลาสติกจะซึมสลายปะปนกับอาหาร สะสมในร่างกาย
8. โยเกิร์ตตามซูเปอร์มาร์เก็ต จะมาเดี่ยวๆ หรือมาเป็นแพ็ค แต่สังเกตกันบ้างหรือไม่ว่าโยเกิร์ตสมัยนี้ทำไมจึงผลิตออกมาได้มากมาย หลายรส หลายกลิ่น และทำไมหลายคนกินแล้วมีแต่อ้วนขึ้น! ก็เพราะผู้ผลิตบางเจ้าเติมแป้งลงไปเพื่อให้ได้ปริมาณและความข้น ขณะที่ผลไม้เชื่อมที่ใช้ก็ถูกสลายเกลือแร่และวิตามินซีไปนานแล้ว สิ่งที่ได้คือแป้งแต่งกลิ่นนมเปรี้ยว เติมสีและรสสังเคราะห์ ทำให้โยเกิร์ตมีราคาถูกนั่นเอง วิธีทดสอบง่ายๆ ลองหยดทิงเจอร์ไอโอดีนตามการทดลองวิทยาศาสตร์ตอนเด็กๆ ดู หากเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แปลว่าคุณเจอโยเกิร์ตแป้งเข้าแล้ว
การทานโยเกิร์ตให้ได้รับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จากนม จึงควรเลือกแบบโฮมเมด มีรสและกลิ่นตามธรรมชาติของนม และรสธรรมชาติทานคู่กับผลไม้สด เมล็ดธัญญาหาร หรือน้ำผึ้ง จะได้รับประโยชน์เต็มๆ กว่า
9. น้ำปลาเปิดขวดแล้ว ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน เพื่อป้องกันการวางไข่ของแมลงวัน และเชื้อโรคตามอากาศที่ปะปนอยู่ในขวด
10. ขวดซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ที่เปิดใช้แล้ว แม้จะเก็บไว้อย่างดีในตู้เย็น แต่หากเปิดใช้เหลือเกินกว่าวันที่ฉลากระบุ ก็ต้องจัดการทิ้งถังขยะ เพราะเชื้อราตามคอขวดซอสเหล่านี้ เติบโตเร็ว
11. กระดาษหนังสือพิมพ์ แม้จะมีการลดจำนวนการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ในการห่ออาหาร แต่บางครั้งเราก็ยังเห็นแม่ค้านำมาห่อผักสด เข่งปลา วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป สารพิษจากหมึกจะปนเปื้อนในอาหารได้ ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะนำไปห่อผักแช่ตู้เย็น
12. อาหารกระป๋อง ถ้าใช้ไม่หมดควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น เพราะอากาศจะเร่งปฏิกิริยาให้อาหารปนเปื้อนสารจากกระป๋องได้ง่าย
13. ฟองน้ำล้างจาน ตามท่อ หรืออ่างล้างจาน เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ในฟองน้ำล้างจานก็เช่นกัน หากนำกลับมาใช้ซ้ำหลายๆ ครั้ง แบคทีเรียที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้จึงไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง หากต้องการกำจัดเบื้องต้น ก็มีเคล็ดลับง่ายๆ โดยนำฟองน้ำล้างจานไปแช่ในน้ำส้มสายชู แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ก็จะช่วยลดจำนวนแบคทีเรียที่อาจปะปนกับจานชามของเราได้ส่วนหนึ่ง....น่ากลัว จริงๆ นะ
14. อาหารหมักดอง ใครที่ชอบทานอาหารหมักดองเป็นประจำต้องระวังให้ดี เชื้อไวรัสในอาหารหมักดองมีฤทธิ์มากพอที่จะทำลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะอาหารหมักดองที่ขายตามตลาด เช่น ผักกาดดองในกะละมังโรงงานบางแห่งจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด (โดยใช้คนลงไปนวดผักในอ่างดอง โดยที่เราไม่แน่ใจว่าคนนั้นๆ มีโรคติดต่อหรือไม่) หากจะนำผักกาดดองไปปรุงอาหาร ควรเลือกผักกาดดองกระป๋อง หรือบรรจุซองที่ซีลแน่นหนา สะอาด ไม่รั่ว ไม่บุบ ไม่แตก
15. เบียร์สด บางคนอาจคิดไม่ถึง แต่เบียร์สดจะมีกรรมวิธีการผลิตแตกต่างจากเบียร์บรรจุขวด นั่นก็คือเบียร์สดจะไม่ถูกกรองยีสต์ที่ตายแล้ว ก็อาจจะทำให้ได้รับซากยีสต์จากการดื่มด้วย ซึ่งต้องระมัดระวังหากใครมีปัญหาเรื่องภูมิต้านทานแบคทีเรีย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.sanook.com/25-01-2010